รบกวนสอบถามการอบรมเจริญสติ ทำความเข้าใจในการแยกรูป - นาม
เพิ่งมีโอกาสได้รับฟังธรรมะบรรยาย ของท่านอาจารย์สุจินต์ (แนวทางวิปัสนา ครั้งที่ 1 - 31 ไปแล้ว) ก็ลองเริ่มทำความเข้าใจการแยกรูป นาม มีความเข้าใจ ในบางส่วน และไม่เข้าใจในบางส่วน ดังนี้ค่ะ :-
ส่วนที่พอเข้าใจ
- ที่ตามองเห็น จะทำความเข้าใจ แยกดังนี้ คือ สิ่งที่ถูกเห็น เป็น รูป / จิตที่ไปเห็นเป็น นาม แล้วดับไป
- ที่หูได้ยินเสียง เสียง เป็น รูป / จิตที่ไปได้ยินเป็น นาม แล้วดับไป
- ที่จมูกได้กลิ่น กลิ่น เป็น รูป/ จิตที่ได้กลิ่น เป็น นาม แล้วดับไป
- ที่ลิ้นได้รับรส รส เป็น รูป/ จิตที่รู้รส เป็น นาม แล้วดับไป
* ส่วนที่ไม่ค่อยเข้าใจ/ไม่แน่ใจ คือส่วน กาย กับ ใจ มีคำถามดังนี้...
1. ถ้าอยู่ๆ รู้สึก คันที่ผิวหนังขึ้นมา (คันขึ้นมาเอง เพราะผิวแห้งมาก) แบบนี้ แยกอย่างไรคะ >> จิตที่ไปรู้อาการคัน เป็น นาม แล้วอาการคัน เป็น รูป หรือ นามคะ?
2. ถ้ากำลังแกว่งแขน จิตที่รับรู้ความสั่นไหวของแขนที่แกว่ง เป็น นาม /แล้วกิริยาที่กำลังแกว่งแขน เป็น นาม หรือ รูป คะ?
3. นึกคิดเรื่องใดๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเรื่องที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วเมื่อวาน หรือ เรื่องที่จินตนาการ คิดขึ้นมาเอง ยังไม่เกิดขึ้นจริง แยกอย่างไรคะ แบบนี้จะถูกต้องมั้ย >> จิตที่คิด เป็น นาม /เรื่องที่ถูกคิด เป็น บัญญัติ (แล้วบัญญัติ เป็น นามหรือเปล่าคะ) / จิตที่รับรู้เรื่องที่กำลังคิด เป็น นาม >> รบกวนด้วยค่ะ ว่าข้อนี้ต้องแยกเป็น 3 ส่วนแบบนี้ถูกมั้ย?
ขอรบกวน และขอบคุณล่วงหน้าด้วยค่ะ
เก้า/อุรัสยง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน มีธรรมอยู่ตลอดไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ไม่ว่าเป็นในขณะใดก็ตาม ก็คือ ธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้เริ่มฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจจริงๆ ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม (จิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต) และสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งคือ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย เช่น สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ในขั้นแรก ไม่ใช่การแยกรูปแยกนาม แต่ต้องเริ่มที่สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ก่อน ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆ เพราะปัญญาจะมากได้ เจริญขึ้นมากได้ ก็มาจากการสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่มีจริง สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ เมื่อมีความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ
-ลักษณะอาการคัน เป็นความรู้สึกไม่สบายทางกาย ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นเวทนาเจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรม
-เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม จึงหมายรู้ได้ว่ามีการแกว่งแขน เพราะถ้าไม่มีจิต ก็ทำอะไรไม่ได้ แกว่งแขนไม่ได้ เป็นต้น
-คิด เป็นนามธรรม เรื่องที่คิด เป็นบัญญัติ บัญญัติเรื่องราวต่างๆ ไม่มีลักษณะที่มีจริงๆ จึงไม่เกิดขึ้น ครับ
ส่วนใหญ่จะตื่นเต้นกับคำว่าสติปัฏฐาน อยากให้สติปัฏฐานเกิด ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย สติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง) ไม่สามารถเกิดได้เพราะความอยาก ความต้องการ จึงสำคัญที่การตั้งต้นการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำอะไร ก็คือ ธรรมที่มีจริงๆ สติปัฏฐานสามารถเกิดขึ้นระลึกรู้ในความเป็นจริงของสภาพธรรมได้ ดังนั้น กว่าจะไปถึงตรงนั้น ต้องอาศัยเหตุที่สำคัญ คือการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
พระธรรมละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...