โลกว่างเปล่า จากการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นเรา
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากทุกคน อยู่ที่ตัวของทุกคนตั้งแต่เกิดจนตายแต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรมะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งคนซึ่งมีเหมือนกัน เช่น เห็น ได้ยิน ... เพื่อให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แสนยากที่จะมีความเห็นว่าเดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วดับไม่ใช่เรา
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องฟังแล้วฟังอีกจนกระทั่งรู้ว่าความรู้ของเราตั้งแต่เริ่มต้นเข้าใจกับค่อยๆ เข้าใจขึ้นนั้นต่างกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะว่า โลกว่างเปล่า จากการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นเรา เพราะสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเราต้องเกิดมีแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีใครรู้ ว่างเปล่าไหม!!! ไหนเรา!!! เข้าใจว่าเป็นเราเห็น แต่เห็นเกิดแล้วดับจะเป็นเราได้อย่างไร!!!
ต้องมีความเข้าใจว่าธรรมะทั้งหมดอยู่ที่ตัว จะเข้าใจธรรมะหรือจะรู้จักธรรมะก็ไม่ต้องไปหาธรรมะที่ไหน ... ที่ตัวนี้แหละมีทุกอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว แต่เราก็ไม่เคยรู้สักอย่างหนึ่ง ต้องเริ่มเข้าใจในเบื้องต้นเพื่อจะได้ประจักษ์แจ้งสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ว่า คำใดก็ตามที่พระองค์ตรัสไว้ทั้งหมดเป็นคำที่ประจักษ์แจ้งรู้จริงได้ แต่ต้องเริ่มจากการฟัง ถ้าคิดเองนั้นผิด
เป็นผู้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้จะทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้วเป็นศาสดา ไม่มีคำของใครอื่นอีกเลยนอกจากคำของพระองค์
เริ่มรู้สิ่งที่มีที่ตัว สภาพที่ไม่รู้อะไรเช่นแข็ง แข็งที่ตัวนับว่าเป็นเราคือสักกายะ แข็งข้างนอกตัวนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดคืออัตตา ที่ใดมีแข็งที่นั่นมีสิ่งที่กระทบตา ขณะที่สิ่งนั้นกระทบตา ไม่แข็ง แข็งจะกระทบตาไม่ได้ แต่สิ่งที่อยู่ที่แข็งอาศัยแข็งเกิดขึ้นนั่นแหละกระทบตา กำลังปรากฏ ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลเลย เดี๋ยวนี้กำลังปรากฏ
ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำไปสู่ความเห็นที่ถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะชั่วคราวแสนสั้น สิ่งใดก็ตามมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ