เริ่มต้นอย่างมั่นคง

 
khampan.a
วันที่  28 ม.ค. 2562
หมายเลข  30433
อ่าน  2,506

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรม

ที่โรงแรม OAKS พุทธคยา ประเทศอินเดีย

วันจันทร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๒



~ ทางตาเห็น เป็นโลกหนึ่งแล้ว เป็นโลกที่ปรากฏทางตา เวลาได้ยินเสียงก็เป็นอีกโลกหนึ่ง ไม่ปะปนกันกับโลกทางตา

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกคือธรรมซึ่งเกิดดับ เช่น ได้ยินเกิดแล้วดับแล้วหมดแล้ว

~ ความลึกซึ้งอย่างยิ่งคือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำเป็นคำจริง สามารถเข้าใจได้ เช่น เห็นมีจริง เพราะเห็นเกิด ไม่มีเรา เห็นกำลังเห็น และเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย เพราะเห็น ย่อมเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แน่นอน

~ ธรรมหมายถึงสิ่งที่มีจริง อะไรก็ตามที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด

~ สิ่งต่างๆ ถ้าแยกโดยละเอียด ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ต้องมีปัจจัยที่สมควรอย่างดีที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น

~ เพราะมีตา (ตา ไม่เห็น) เพราะมีสิ่งที่กระทบตา สิ่งที่กระทบตาก็ไม่เห็น แต่เมื่อสิ่งนั้นกระทบตา เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้นเห็น และปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิด ก็คือกรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าขณะนั้นเห็นสิ่งที่ปรากฏที่ไม่น่าพอใจ ก็เป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต

~ แรงกรรม สามารถที่จะบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิด โดยที่ใครก็บันดาลไม่ได้ เช่น แรงกรรม ทำให้ตา เกิดขึ้น ใครทำไม่ได้เลย เพราะกรรมทำให้สภาพธรรมนั้น คือ ตา เกิด

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนทั้งสิ้น มีธรรมที่แตกต่างกันเป็นสองอย่าง คือ ธรรมแต่ละหนึ่งๆ เกิดขึ้นจริง แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรม มีจริงๆ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปธรรม เป็นต้น และมีสภาพธรรมธรรมที่เป็นสภาพรู้ เช่น เห็น เป็นต้น

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ อนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง

~ หูก็ไม่รู้อะไร เสียงก็ไม่รู้อะไร แต่เมื่อเสียงกระทบหู เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียง ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัยที่เหมาะควรที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

~ ตาไม่รู้อะไรเลย สิ่งกระทบตาก็ไม่รู้อะไร แต่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นจึงรู้ว่าเห็นอะไร จึงไม่มีใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

~ อกุศล ไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้เลย แต่ว่าความดีเกิดขึ้นทำให้ความไม่ดีค่อยๆ ลดลงทีละน้อยๆ เป็นบารมีที่ทำให้ถึงเวลาที่จะประจักษ์แจ้งชัดในสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งเกิดดับ ไม่ใช่เรา

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะคิดเองได้ แต่จากการฟัง ต้องฟังตั้งแต่เบื้องต้น เพราะถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่ตอนต้น ไปพูดถึงอายตนะบ้าง ธาตุบ้าง ปฏิจจสมุปปาทบ้าง อริยสัจจธรรมบ้าง ก็เป็นคนที่พูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น ปัญญาคือความเห็นถูกต้องเท่านั้นที่จะทำให้เริ่มรู้ว่าไม่มีเรา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่มีจริง โดยต้องเกิดขึ้นด้วย เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ สิ่งที่เกิด แต่ที่ชาวบ้านไม่รู้ คือ สิ่งนั้นเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ และสิ่งใดที่เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ใหม่ตลอดทุกขณะ ทุกชาติ ดับคือดับจริงๆ ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น ถ้าชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วมีปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสิ่งนั้น ก็จะรู้ว่า หลงชอบสิ่งที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งไม่ฉลาดเลยที่หลงชอบสิ่งที่เกิดแล้วดับ

~ ธรรม มีจริง มีใครเป็นเจ้าของธรรมไหม? ตาเป็นของเราหรือเปล่า? หูเป็นของเราหรือเปล่า? ที่ตัวมีอะไรเป็นของเราบ้าง? ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ทั้งหมด ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร? เป็นธรรม

~ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับไป จะเป็นเราได้ไหม? จะเป็นของเราได้ไหม? ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มต้นอย่างมั่นคง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทั้งหลาย เป็นอนัตตา มิฉะนั้น เราจะเป๋ไป๋ ไปไหนก็ไม่รู้ แต่ต้องตรง เพราะ ธรรม เป็นธรรม จะเป็นเราได้อย่างไร แล้วก็เกิด แล้วก็ดับไปแล้วด้วย ไม่มีอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แต่เพราะไม่รู้ จึงเข้าใจผิดว่าเป็นเรา

~ ได้ยิน เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป แค่เกิดขึ้นได้ยินแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเป็นเราได้ไหม เพราะไม่เหลือแล้ว เพราะฉะนั้นจะมีเรา มีตัวตน มีสัตว์ บุคคล มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงถาวรหรือไม่? ก็ไม่มี ก็เริ่มรู้จัก ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้

~ ธรรม ที่มีจริง แต่ละหนึ่งๆ เป็นธรรม เห็นเป็นธรรม ตา เป็นธรรม สิ่งที่กระทบตาเป็นธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ต้องชัดเจนตั้งแต่เบื้องต้น จึงสามารถที่จะเข้าใจคำต่อๆ ไปได้ เพราะกว่าหมดความยึดถือว่าเป็นเรา ต้องเข้าใจขึ้น.

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 28 ม.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Sompis
วันที่ 28 ม.ค. 2562

ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์เจ้าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
panasda
วันที่ 28 ม.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Chinjang
วันที่ 28 ม.ค. 2562

กราบอนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สิริพรรณ
วันที่ 28 ม.ค. 2562

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

แม้เสียงที่ได้ยินดับไปหมดแล้ว แต่ความเข้าใจก็สะสมแล้ว การได้ยิน ได้ฟัง การสนทนาธรรม จึงเป็นขณะที่ประเสริฐยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในธรรมทาน จากท่านอาจารย์คำปั่นด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Nataya
วันที่ 29 ม.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
mammam929
วันที่ 29 ม.ค. 2562

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในเมตตาธรรมที่ท่านอาจารย์แสดงคำจริงเพื่อความเข้าใจจนกว่าปัญญาจะปรากฏ

ขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ที่เกื้อกูลถ่ายทอดคำจริงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
anuraks168
วันที่ 29 ม.ค. 2562

ขอถวายความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 29 ม.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Thanapolb
วันที่ 29 ม.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่น ครับ

" ... ถ้าชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วมีปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสิ่งนั้น ก็จะรู้ว่า หลงชอบสิ่งที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งไม่ฉลาดเลยที่หลงชอบสิ่งที่เกิดแล้วดับ ..."

เพราะไม่มีปัญญาประจักษ์แจ้งการเกิดดับ จึงหลงในสิ่งที่เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยนี่เอง

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 29 ม.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ