สังเวช

 
nattawan
วันที่  21 ก.พ. 2562
หมายเลข  30490
อ่าน  782

สังเวช เป็นภาษาที่คนไทยใช้ แล้วคิดยังไงเวลาใช้คำนี้ น่าสงสารสุดที่จะประมาณได้ ไม่ใช่อย่างธรรมดา ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วสังเวชต้องประกอบด้วยปัญญาว่าน่าสงสารที่ไม่มีปัญญา ที่จะต้องเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดอีกตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลาได้ยินคำอะไรในภาษาบาลีก็คิดตามความไม่เข้าใจว่าคำนั้นจริงๆ แล้วหมายถึงปัญญาที่ลึกซึ้งที่เห็นว่าการเกิดจนกระทั่งตาย ระหว่างเกิดถึงตายมีอะไรบ้าง แต่ละวันๆ หมดไป ว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีอะไรจากเมื่อวานนี้มาถึงวันนี้ได้เลย เพราะฉะนั้นจากชาตินี้ที่จะไปถึงชาติหน้าก็ไม่มีอะไรนอกจากความไม่รู้ซึ่งติดตามไปมากมาย ก็น่าสังเวชน่าสงสารจริงๆ แต่ต้องด้วยปัญญา ในความหมายเดิมต้องเป็นปัญญาที่เห็นโทษภัยของการเกิดว่าการเกิดแล้วต้องตายไม่รู้จบ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาไม่มีใครที่จะหยุดยั้งการเกิด ตายแล้วที่จะไม่เกิดอีกไม่มี แต่ใครจะรู้ว่าตายแล้วจะเกิดเป็นอะไร ไม่มีใครรู้ได้ แต่ว่าการเกิดแล้วรู้ว่าเราเกิดเป็นคนนี้จากเหตุที่ได้กระทำแล้วจะเป็นคนอื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับแต่ละคนก็มีเหตุมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น แม้จากโลกนี้การเกิดก็ไม่รู้จะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นชาตินี้ควรมีความเข้าใจถูกต้องดีกว่าจะเกิดมาแล้วไม่รู้อะไรเหมือนคนตาบอดมืดสนิท จากโลกนี้ไป ไปไหนก็ไม่รู้ แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ไม่รู้อีก น่าสังเวชแต่ต้องด้วยปัญญาจริงๆ ที่เห็นจริงๆ ว่าการเกิดแล้วไม่มีความเข้าใจถูกไม่สามารถสิ้นสุดสังสารวัฏฏ์ได้ เป็นปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริงว่าการเกิดเป็นทุกข์ ไม่มีเหลือจริงๆ

ขณะที่นอนหลับสนิทมีเราหรือเปล่า เราเป็นใครอยู่ที่ไหนรู้ไหมขณะกำลังหลับสนิทสนิทจริงๆ โลกไม่ปรากฏเลยแต่ยังมีจิตซึ่งสะสมทุกอย่างมากี่แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลยังติดอยู่ในจิต นอนเนื่องอยู่ในจิตพร้อมที่จะเป็นปัจจัยทันทีที่เห็น ตื่นขึ้นกิเลสก็เกิดแล้ว ความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏก็ทำให้เกิดกิเลสประเภทต่างๆ ได้ ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมะให้รู้ตามความเป็นจริง ซึ่งเราไม่รู้ว่าขณะที่นอนหลับสนิทแม้มีจิตก็ไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น เช่นเดียวกับขณะเกิด ขณะแรกที่เกิดเป็นคนนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าอยู่ที่ไหนเหมือนหลับสนิท จิตที่เกิดขณะแรกไม่รู้เลยว่าอยู่ไหนเหมือนหลับสนิทจริงๆ จิตที่เกิดไม่รู้อะไร อะไรก็ไม่ปรากฏ ขณะที่หลับสนิท (ภวังคจิตดำรงภพชาติ) ขณะนั้นชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรปรากฏเลย ... ชอบไหม มีคนบอกว่าชอบเพราะนอนไม่หลับก็อยากหลับแล้ว หลับเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะหลับ แล้วความตายก็เช่นเดียวกันเหมือนเลยกับตอนหลับ โลกนี้ไม่ปรากฏเลย แล้วเพียงหนึ่งขณะจิต ... ชอบไหม เหมือนหลับไหม ... คิดดู

ธรรมะทั้งหลายต้องเป็นเรื่องที่ไตร่ตรองเพื่อให้เห็นจริงๆ ว่าเป็นธรรมะ ไม่เป็นไม่ได้ แต่ความไม่รู้มีมากมาย ตอนหลับสนิทก็ชอบแต่ขณะตายเหมือนอย่างนั้นเลย แทนที่จิตจะเกิดดับดำรงภพชาติในระหว่างที่ดับที่ไม่มีอะไรปรากฏ จุติจิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้นทำกิจพ้นความเป็นบุคคลนี้เหมือนหลับ และหนึ่งขณะจิตที่ดับไปมีขณะต่อไปซึ่งต้องเกิดสืบต่อแน่นอน คือ การเกิด ก็ชั่วหนึ่งขณะจิตเป็นไปเหมือนหลับตื่นขึ้นมาก็โลกใหม่แล้ว เหมือนเราจากโลกก่อนมาพอตื่นขึ้นมาก็โลกนี้แล้ว โลกก่อนเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ และจะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่การสะสมความไม่รู้จะเพิ่มมากขึ้น ตรงข้ามกับการที่รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมะซึ่งยับยั้งเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดไม่ได้เลย จะต้องเกิดไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงว่าไม่มีเรา

คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เริ่มเห็นว่าอะไรเป็นสิ่งที่สมควรในเมื่อไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมะที่เกิดดับยับยั้งไม่ได้โดยเหตุโดยปัจจัยตลอด และจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเห็นผิด เข้าใจผิด ยึดถือสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็วลวงให้คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน

กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 22 ก.พ. 2562

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 8 ส.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ