การเกิดเป็นภัย

 
nattawan
วันที่  22 ก.พ. 2562
หมายเลข  30491
อ่าน  710

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะโดยละเอียดยิ่งเช่นที่เรากำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ รูปร่างกายทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอากาศธาตุแทรกละเอียดยิบพร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ เช่นเดียวกับรูปโต๊ะหรือรูปใดๆ ทั้งหมด รูปธรรมทั้งหมดจะเกิดเป็นสภาพธรรมะที่เล็กมากเป็นกลุ่ม (กลาป) เกิดดับอยู่ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครรู้ได้ว่าไม่มีเราสักขณะเดียวเพราะเกิดแล้วดับแล้วไม่ว่านามธรรมหรือรูปธรรม ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ก็ยินดีในการเกิด กลัวตายไหม!!! ไม่ต้องกลัวเลย เหมือนภวังค์หลับสนิทแล้วก็เกิดแล้วเป็นอีกโลกหนึ่ง แต่ก็ต้องสิ้นสุดลงไม่สามารถเป็นคนนี้ได้ต่อไป เมื่อถึงเวลาที่ธรรมะจะต้องทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แล้วกรรมหนึ่งก็ทำให้เกิดเป็นบุคคลต่อไป ถ้าได้มีความเข้าใจธรรมะ ความเข้าใจนี้จะติดอยู่ในจิต มีโอกาสจะได้รู้ความจริง แต่ถ้าไม่รู้ความจริง เกิดมานานเท่าไหร่แล้วและจะเกิดต่อไปอีก ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการเกิดดับของธรรมะซึ่งไม่ใช่เราแต่เข้าใจว่าเป็นเรา

การเกิดเป็นภัยอย่างไร!!! ขณะนี้กำลังเห็นแต่ไม่เห็นการเกิดของเห็นและการดับของเห็น แต่กำลังมีเห็นซึ่งดูเหมือนว่าเห็นอยู่ตลอดเวลา จิตมีอายุสั้นมาก รูปที่เราคิดว่ายั่งยืน แต่ละกลาปก็มีอายุเท่าจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง!!! ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์จะไม่มีคำที่เราได้ยินได้ฟังขณะนี้ว่า ความจริงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิดและดับอย่างรวดเร็ว แต่ ตราบใดที่ยังไม่เห็นการเกิดดับ ... ไม่เห็นภัย เพราะมีสภาพอื่นเกิดสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้เหมือนสิ่งนั้นไม่ได้ดับไปเลย แล้วจะเห็นภัยของการเกิดได้อย่างไร เหมือนว่ามีอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ความไม่รู้,ความติดข้องและความยินดียึดถือในสิ่งนั้นย่อมมี

ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นที่มีจิตและเจตสิกทั้งหมดทรงจำแนกเป็นขันธ์ ๕ ตามการยึดมั่นว่าเป็นเรายึดมั่นในรูป ลืมตาขึ้นมาก็แสวงหารูป แสวงหารูปอาหาร ฯลฯ เพราะติดข้องในรูป แสวงหารูป รูปจึงเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นเพื่อนำมาซึ่งความรู้สึกที่เป็นสุข เราจะไม่ซื้อของที่เราไม่ชอบใช่ไหม!!! ซื้อมาแล้วคิดว่าเป็นสุขมากที่เราได้สิ่งนั้น ทุกอย่างแสดงความติดข้องในรูปเพื่อความรู้สึกที่เป็นสุขที่จะได้จากรูปและเพราะจำ เพราะฉะนั้นรูปขันธ์หนึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดถือเป็นรูปูปาทานขันธ์ เป็นการรวม ๓ คำ คือ รูป อุปาทานและขันธ์ ยึดมั่นในรูป มีใครไม่ยึดมั่นในรูปไหม!!! ไม่มี!!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าตราบใดที่ภพภูมิที่มีรูปต้องติดข้องในรูป เพราะรูปเกิดขึ้นปรากฏว่ามีสิ่งนั้น และไม่รู้การเกิดดับของสิ่งนั้น ก็ยึดถือในสิ่งนั้น

กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ajs30_chum
วันที่ 27 ก.พ. 2562

ขอกราบอนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 27 ก.พ. 2562

...อนุโมทนาค่ะ..

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 8 ส.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ