พระอรหันต์ และ พระอนาคามี ยังหัวเราะไหม

 
DjPut
วันที่  9 มี.ค. 2562
หมายเลข  30533
อ่าน  2,183

ขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 มี.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หสนจิต เป็นจิตที่ทำให้เกิดอาการหัวเราะหรือยิ้มแย้มร่าเริง มี ๑๓ ดวง คือ

โลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง

มหากุศลที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง

มหากิริยาที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ๔ ดวง

และหสิตุปปาทจิตซึ่งเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาอีก ๑ ดวง

การยิ้มแย้มหัวเราะ มี ๖ ประเภท คือ

๑. สิตะ เป็นการยิ้มหรือแย้มไม่เห็นไรฟันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. หสิตะ เป็นการยิ้มพอเห็นไรฟันของพระอรหันตสาวก พระอนาคามี
พระสหทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชน
๓.วิหสิตะ เป็นการหัวเราะมีเสียงเบาๆ เกิดกับพระอริยบุคคลเบื้องต้น ๓ และปุถุชน
๔.อติหสิตะ เป็นการหัวเราะมีเสียงดัง เกิดกับพระสกทาคามี พระโสดา บัน และปุถุชน
๕.อุปหสิตะ เป็นการหัวเราะจนกายไหว เกิดกับปุถุชนเท่านั้น
๖.อวหสิตะ เป็นการหัวจนน้ำตาไหล เกิดกับปุถุชนเท่านั้น

พระอรหันต์ แย้มยิ้มด้วยจิต ๕ ดวง คือ ...

โสมนัสมหากิริยาจิต ๔ ดวง

และ หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง

พระอริยบุคคลเบื้องต้น ยิ้มหัวเราะด้วยจิต ๖ ดวง คือ ...

โสมนัสโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๒ ดวง

โสมนัสมหากุศลจิต ๔ ดวง

ปุถุชน ยิ้มและหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ ...

โสมนัสโลภมูลจิต ๔ ดวง

และ โสมนัสมหากุศลจิต ๔ ดวง

หสิตุปบาท คือ จิตที่ทำให้เกิดการยิ้มแย้ม ของพระอรหันต์ หมายถึง อเหตุกกิริยาจิต

ที่เป็นมโนวิญญาณธาตุทำกิจชวนะ ซึ่งเป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์เกิดอาการแย้มยิ้ม เมื่อได้รับอารมณ์ เช่น เมื่อเห็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ควรแก่การหลีกเร้น หรือเมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่กล่าวผรุสวาจาต่อกัน พระอรหันต์ก็เกิดอาการแย้มยิ้ม เพราะทราบว่าตนพ้นจากเหตุที่ทำให้ไปสู่อบายแล้ว หรือ เห็นเปรตก็เกิดอาการยิ้มแย้ม เพราะรู้ว่าตัวท่านพ้นจากอบายแล้วครับ

หสิตุปาทจิตของพระอรหันต์ที่ยิ้มแย้ม จะไม่ถึงกับการหัวเราะแบบปุถุชนครับ เพียงยิ้มแย้มเห็นฟันเล็กน้อยเท่านั้นครับ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 14

......ทรงกระทำความแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ทรงแย้มพระโอษฐ์. พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงพระสรวล เหมือนอย่างพวกมนุษย์ชาวโลกีย์ ย่อมตีท้องหัวเราะว่า ที่ไหน ที่ไหน ดังนี้. ส่วนการยิ้มแย้มของพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรากฏเพียงอาการยินดีร่าเริงเท่านั้น. อนึ่ง การหัวเราะนั้น มีได้ด้วยจิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัส ๑๓ ดวง. ในบรรดาจิตเหล่านั้น มหาชนชาวโลกย่อมหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ โดยอกุศลจิต ๔ ดวง โดยกามาวจรกุศลจิต ๔ ดวง พระเสกขบุคคลย่อมหัวเราะด้วยจิต ๖ ดวง นำจิตที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิฝ่ายอกุศลออก ๒ ดวง พระขีณาสพย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๕ ดวง คือ ด้วยกิริยาจิตที่เป็นสเหตุกะ ๔ ดวง ด้วยกิริยาจิตที่เป็นอเหตุกะ ๑ ดวง แม้ในจิตเหล่านั้นเมื่ออารมณ์มีกำลังมาปรากฏ ย่อมยิ้มแย้มด้วยจิตที่สัมปยุตด้วยญาณ ๒ ดวง เมื่ออารมณ์ทุรพลมาปรากฏ ย่อมยิ้มแย้มด้วยจิต ๓ ดวง คือ ด้วยทุเหตุกจิต ๒ ดวง ด้วยอเหตุกะ ๑ ดวง.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 10 มี.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น เหตุที่ท่านไม่มีการหัวเราะเสียงดัง หรือยิ้มอ้าปากกว้างเหมือนปุถุชน เพราะท่านละกิเลสได้หมดแล้ว เมื่อพระอรหันต์ท่านดีใจ เพียงแย้มเห็นไรฟันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับพระอนาคามี เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๓ ที่สามารถดับความติดข้องในกามได้ ดับความโกรธได้ ความประพฤติเป็นไปของท่านย่อมต่างจากผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลสอย่างสิ้นเชิง

ปกติของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีกิริยาจิตเพียง ๒ ประเภท เท่านั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และ มโนทวาราวัชชนจิต ส่วนผู้ที่เป็นพระอรหันต์ มีกิริยาจิตมากกว่านี้ และ หนึ่งในนั้น ก็คือ หสิตุปาทจิต (จิตแย้มยิ้มของพระอรหันต์) สำหรับพระอรหันต์ท่านแย้มยิ้ม ด้วยจิต ๕ ดวง คือ มหากิริยา (ที่เป็นสเหตุกกิริยา) ๔ ดวง อันประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และ อีก ๑ ดวง เป็นอเหตุกกิริยา คือ หสิตุปาทจิตนั่นเอง ดังนั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะไม่มีหสิตุปาทจิตเลย ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์สามารถแย้มยิ้มได้ด้วยจิตหลายประเภท กล่าวคือด้วยโลภมูลจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และ มหากุศลที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา

ผู้ที่ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมจะมีความเข้าใจว่า การที่จะมีปัญญาเพิ่มขึ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ นั้นต้องอาศัยการฟัง การศึกษาการสนทนา การสอบถาม การพิจารณาการใคร่ครวญ ค่อยๆ ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เท่านั้น ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นได้ ซึ่งเป็นการสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ สิ่งที่สะสมไว้ย่อมไม่หายไปไหนแต่สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ, ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจฟังด้วยดี ไม่เข้าไปอาศัยผู้เป็นพหูสูต ไม่สนทนาไม่สอบถาม ไม่พิจารณาในเหตุในผล ย่อมไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญได้เลย กล่าวคือไม่ได้ปัญญา นั่นเอง ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
apichet
วันที่ 11 มี.ค. 2562

ขอบคุณครับอนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ