ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๔
~ ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็อยู่กันด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ มีความมั่นคง จะหวั่นไหวไหมในการที่รู้ว่าชีวิตก็คือสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุแต่ละหนึ่งๆ ที่สะสมมาหลากหลาย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าเป็นความไม่รู้ก็สะสมความไม่รู้ต่อไป ถ้าเป็นความอยากก็อยากไปเรื่อยๆ มากเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นความรู้ แม้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ไม่ได้สูญหายไปไหนเลยมั่นคงขึ้นแล้วก็ทำให้รู้ว่าชีวิตมีค่าที่สุดเมื่อได้เข้าใจพระธรรม ส่วนชีวิตซึ่งไม่เข้าใจพระธรรมมีแต่ว่าจะทำทุจริตต่างๆ แล้วก็ต่ำลงไปในทางทุจริตในทางอกุศล เพราะความไม่รู้
~ อะไรจะฉุดทุกคนขึ้นจากความไม่รู้และอกุศล ก็มีทางเดียวคือการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าใครสามารถจะเป็นคนดีเองได้ เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด ก็ต้องได้อาศัยคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แล้วก็ทรงแสดงความจริงด้วยพระมหากรุณาว่า ทุกคำของพระองค์ สามารถที่จะทำให้คนที่ไม่เคยเข้าใจเลย เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงขึ้น ปัญญา ก็จะเป็นสังขารขันธ์ค่อยๆ ปรุงแต่งให้ความคิดในชีวิตประจำวัน การกระทำทั้งหมดเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งก็จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ สิ่งที่จะช่วยกู้ทุกสถานการณ์แก้ไขทุกเหตุการณ์ได้ก็คือการที่เข้าใจพระธรรมรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย หันไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมน เข้าใจว่าสิ่งอะไรที่เหลวไหลไร้สาระทั้งหมด เช่นตะกรุด อะไรต่ออะไรต่างๆ เยอะมาก เป็นอะไร ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนับถือและเชื่อ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งหนทางเดียวที่จะแก้ไขทุกสถานการณ์คือให้ทุกคนเป็นคนที่เข้าใจธรรมและเป็นคนตรง ถ้าเห็นประโยชน์สูงสุดอย่างนี้ของคุณของพระรัตนตรัย เราก็จะมีความมั่นคงไม่หวั่นไหวเลยที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ พระธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวินัยก็เป็นการขัดเกลากิเลสที่ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าพุทธบริษัทไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาพระธรรม พระพุทธศาสนาก็ดำรงต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงใจและรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับทุกชีวิต ก็คือ ได้มีโอกาสเข้าใจพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่า ถ้าชาตินี้ไม่เข้าใจเลย ชาติต่อๆ ไปจะได้เข้าใจหรือ?
~ การเป็นบุคคลหนึ่งๆ ในชั่วชีวิตหนึ่งๆ ขอให้ทราบตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นจริงๆ แล้วการเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ แต่ละขณะที่ผ่านไป ก็จะทำให้ถึงความสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ แล้วก็จะไปสู่ความเป็นบุคคลอื่นในชาติต่อไป
~ ความไม่รู้ ไม่มีทางที่ทางที่จะรู้ได้ ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จากการไม่รู้สู่ความรู้ ว่า อะไรที่เป็นภัย เป็นคลื่นใหญ่
ก็คือ อวิชชา (ความไม่รู้)
~ ส่วนใหญ่ คนที่มีกิเลส ก็ชอบกิเลส ไม่เห็นว่ากิเลสเป็นมาร แต่ผู้มีปัญญาเห็นว่ากิเลส เป็นมาร (ขัดขวางคุณความดี ไม่ให้ความดีเกิดขึ้น)
~ มารตัวร้ายที่ทำลายความสงบ ทำลายความดีทุกอย่าง คือ กิเลสมาร
~ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจทีละน้อย ไปเรื่อยๆ โดยการเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า แม้น้ำหยดเดียว (ทีละหยดๆ ) ก็สามารถที่จะถึงความเป็นมหาสมุทรได้ เพราะฉะนั้น หยดน้ำของปัญญา ก็สามารถที่จะดับอกุศลทั้งหมดได้ ไม่เหลือเลย
~ ปัญญาเจริญช้ามาก เหมือนการจับด้ามมีด เพราะอะไร เพราะกำลังฟังก็เข้าใจคำที่กำลังฟัง พอฟังจบแล้ว ก็กิเลสเลย ยับยั้งไม่ได้ หยุดไม่ได้ มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น ปัจจัยของความเข้าใจ (คือ การได้ฟังพระธรรม) ถ้าหยุด ก็ไม่เติม ไม่เจริญ แค่ไหนก็แค่นั้น นับวันก็จะถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ ความยินดีเพลิดเพลิน ซึ่งเป็นกิเลสต่อไป
~ การฟังธรรม ต้องรู้ว่า เป็นการฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อความไม่รู้จะได้ลดน้อยลง นั่นคือ ความหมายของคำว่า ขัดเกลา กว่าจะหมด เพราะมากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เข้าใจ กำลังทำงานละความไม่รู้
~ โลกไม่สงบ เดือดร้อนวุ่นวายทั้งหมด เพราะกิเลส ไม่มีทางที่จะหมดได้เลย ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง คือ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จะระงับความไม่สงบสุขทั้งหลายได้ ก็ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้ฟังอย่างนี้แล้วยังจะเฉยเมยไหม ทั้งๆ รู้ว่า นี้แหละเป็นสิ่งเดียวที่สามารถที่จะนำความสงบสุขมาให้ จากการที่เริ่มเข้าใจถูกต้อง คือ ปัญญา,ปัญญา เห็นถูกเข้าใจถูก ต้องนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้องที่เป็นคุณความดีทั้งหมดได้
~ กล้า อาจหาญ ร่าเริงที่จะเป็นมิตรที่ดี ให้ความเข้าใจถูกต้องตามพระธรรมวินัย
~ ถ้าเป็นความหวังดีจริงๆ ลองคิดดู กล้าที่จะเป็นมิตรที่ดีไหม นั่นต้องเป็นกุศลที่มีกำลังจริงๆ ที่ไม่หวั่นไหวต่อการที่ใครจะคิดอย่างไร ใครจะว่า ใครจะติ ใครจะเข้าใจอย่างไร แต่ความหวังดีก็ยังคงเป็นความหวังดี
~ พุทธศาสนิกชน เข้าใจพระธรรมวินัย พระภิกษุก็เข้าใจพระธรรมวินัย ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส ตามเพศของตน พระพุทธศาสนา จักงามรุ่งเรืองสักแค่ไหน แต่ความจริง ในยุคนี้ตรงกันข้ามกัน ก็เป็นยุคที่เสื่อม
~ กุศลธรรมก็เป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมก็เป็นอกุศลธรรม เมื่อทำสิ่งที่ดีแล้ว ผลที่ดีก็ต้องมีในภพชาติต่อไป แต่ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ภพชาติต่อไปจะเป็นอย่างไร ทำไมไม่คิดถึง?
~ ถ้าเข้าใจธรรม มากขึ้น ไม่มีอะไรที่ชีวิตควรจะเป็นไป นอกจากเข้าใจพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น รับใช้พระพุทธศาสนา ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการทะนุบำรุงที่ยิ่ง เหนือกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
~ คนที่ไม่กล้าที่จะทำความดี ไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ตามการสะสม เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ตัวเองกล้าไหม (ที่จะทำความดี ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง) ไม่ต้องคิดถึงคนอื่น
~ ถ้าทำสิ่งที่ถูกต้องและมีความหวังดี กล่าวคำที่พระสัมมาสัมพระเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว กลัวอะไร ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว เพราะกุศลทั้งหลาย นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ คนที่มีเงินทองมาก มีสิ่งของมาก แต่ไม่ให้ใครเลย พอตายแล้วให้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนตายประมาทไหมเวลาที่ไม่ให้สิ่งที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นที่ตนเองสามารถที่จะสละให้ได้
~ ความไม่ประมาทต้องลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าใครจะทำอะไรได้ แต่สิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ก็คือ เข้าใจธรรมแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มั่นคงขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจ ก็จะสับสน
~ ตราบใดที่ความเข้าใจธรรม ยังมีเหลืออยู่ ยังไม่สูญสิ้น ก็ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่
~ ไม่มีอันตรายใดที่จะเสมอเท่ากับการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะปิดกั้นคนที่สมควรที่จะได้เข้าใจถูกถ้าไตร่ตรอง กลับทำให้เขาเข้าใจผิด
~ ขณะใดที่มีโอกาสที่จะได้ทำความดีแม้เล็กน้อยก็ไม่ประมาท ทำความดีให้ถึงพร้อม เพราะเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดมาก เท่านี้ยังไม่พอ ต้องชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสคือความไม่รู้ ซึ่งนำมาซึ่งกิเลสอื่นๆ ซึ่งจะดับได้ หมดได้ ก็เพราะความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ คนที่เคยเห็นผิด อาศัยการฟังพระธรรม แล้วพิจารณา ย่อมเกิดความเห็นถูกได้ แต่ถ้าไม่ฟังและไม่พิจารณา ก็หมดหนทางที่จะเห็นถูกได้ ย่อมยึดถือความเห็นผิดว่า เป็นความเห็นถูกอยู่เรื่อยๆ แล้วเมื่อมีการสะสมความเห็นผิด จนกระทั่งเป็นปกติ เป็นอุปนิสัยที่มีกำลัง ย่อมจะทำให้ความเห็นผิดนั้นมีปัจจัยที่จะเกิดต่อไปอีก และอาจจะเห็นผิดมากขึ้นอีกด้วย
~ ถ้าสะสมปัจจัยที่จะให้เกิดความเห็นถูกขั้นฟัง และขั้นอบรมเจริญไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุด ความเห็นผิดก่อนๆ ก็ย่อมจะหมดได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมเจริญจริงๆ
~ ต้องอาศัยการสะสมอบรมเจริญไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ลองคิดถึงว่า ถ้าไม่ฟังเลย จะเป็นอย่างไร จะคงยังมีความเห็นผิดอยู่ และไม่มีหนทางที่จะละความเห็นผิด ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียด
~ พระพุทธศาสนา คือ คำสอน ซึ่งเป็นคำสอนของพุทธะ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วจะเป็นชาวพุทธหรือ? ก็เป็นชาวพุทธที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา
~ ไม่ว่าใครจะมีกาย วาจา ใจที่ผิด ที่เป็นอกุศล หรือว่าที่เป็นไป เพราะความเห็นผิดต่างๆ ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่ามิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เป็นอกุศลเจตสิก ซึ่งเมื่อบุคคลนั้นสะสมมา สืบต่อมาเป็นอันมากในอดีต เป็นปัจจัยที่จะให้มีความโน้มเอียง ที่จะเห็นผิด พิจารณาผิด เข้าใจผิด ประพฤติปฏิบัติผิด บุคคลนั้นก็มีปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น
~ การสนทนาธรรม เป็นมงคล นำความเจริญ นำความเห็นถูก นำสภาพธรรมที่ดีงาม มาสู่จิตใจ
~ เป็นคนดี เพราะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด ปัญญานำไปในสิ่งทั้งปวง (ที่ดีงาม) ปัญญาถือเอาเฉพาะสิ่งที่ควร ทิ้งสิ่งที่ไม่ควร,ได้ฟังข่าวเรื่องราวของการประพฤติทุจริต ประพฤติผิดต่างๆ รู้เลยว่าไม่มีปัญญา เพราะถ้ามีปัญญาจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้เกิดปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การที่สามารถรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะเหตุว่า คำของพระองค์จะดำรงต่อไป ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าใจถูก ถ้าผู้ใดก็ตามไม่เข้าใจธรรม พูดไม่จริง คำไม่จริง ไม่ตรงตามความเป็นจริง คำนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...