การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
การที่เรากรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกศลให้กับเหล่าสัมภเวสีดีหรือไม่ครับ เพราะบางที่ว่าไม่ค่อยดี เพราะจะทำให้เขามีฤทธิ์มากแล้วอาจหันมาทำร้ายเราได้ จริงหรือเปล่าครับ เพราะตอนนี่ผมเริ่มไม่ค่อยกรวดน้ำให้กับเหล่าสัมภเวสีทั้งหลายแล้วครับ
แล้วผมเอาน้ำที่ถวายพระพุทธแล้วนำมากรวดน้ำ นั่นดีหรือไม่ครับ เพราะตอนนี่ผมทำอยู่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การอุทิศส่วนกุศลเป็นบุญประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้น โดยเมื่อมีการทำบุญประเภทต่างๆ แล้วก็มีจิตคิดให้ผู้อื่นรับรู้บุญที่ได้ทำมาเพื่อให้สัตว์นั้นได้อนุโมทนา ดังนั้นการอุทิศส่วนกุศลจึงเป็นเรื่องของจิต ที่มีเจตนาให้ผู้อื่นรู้ในบุญที่ตนได้กระทำครับ
การกรวดน้ำในสมัยปัจจุบันก็คือการกระทำที่เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่นที่สามารถล่วงรู้หรือล่วงลับไปแล้วครับ คำถามจึงมีอยู่ว่า ทำไมถึงใช้น้ำ ซึ่งกระผมขออธิบายตามความเข้าใจ ในเรื่องความเป็นมาในการใช้น้ำอุทิศส่วนกุศลครับ ดังนี้
เหตุผลที่ 1 ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายวัดเวฬุวันกับพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข การที่ท่านจะถวายสิ่งของใหญ่ ไม่สามารถยกวัดขึ้นได้ แต่พระเจ้าพิมพิสาร ก็ใช้วิธีการหลั่งน้ำ อันแสดงถึงการสละ ถวายวัดเวฬุวันแล้ว ดังนั้นการเทน้ำ หลั่งน้ำ จึงเป็นกิริยาอาการของการสละ การให้ประการหนึ่ง ดังนั้นเพราะเหตุผลประการนี้ ประเพณีในปัจจุบันการอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติ คือ การสละ ให้บุญที่เป็นนามธรรม จึงมีการใช้น้ำ เทน้ำ เหมือนเป็นการสละ ให้ส่วนบุญกับเปรตหรือญาติทั้งหลายได้อนุโมทนาบุญครับ นี่คือเหตุผลประการหนึ่ง คือ การเทน้ำ คือการให้ ให้ส่วนบุญนั่นเอง
เหตุผลที่ 2 ในจริยาปิฎก พระพุทธเจ้าแสดงเรื่อง บารมี 10 เมตตาบารมี พระองค์แสดงว่า เธอจงมีเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข เหมือนกับน้ำ น้ำย่อมไม่รังเกียจบุคคลใด เมื่อผู้ใดลงไปอาบ ก็ได้ความสุข ได้ความเย็นสบาย น้ำจึงไม่เลือกบุคคลใด ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ความสุขทุกคน ดังนั้นการอุทิศส่วนกุศลด้วยน้ำ ก็เปรียบเหมือนเป็นการให้ญาติทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายทั้งหมด ที่สามารถล่วงรู้ได้ ได้อนุโมทนาบุญในกุศลที่ได้ทำ โดยการอุทิศไปในสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกกับบุคคลใดเลยนั่นเองครับ
เหตุผลที่ 3 เพื่อความตั้งใจ มีสมาธิในการใช้น้ำกรวด ขณะที่เทน้ำ ก็ต้องมีสมาธิและตั้งใจที่จะให้สัตว์ทั้งหลายได้ส่วนบุญ การใช้นำจึงเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่จะให้มีความตั้งใจที่จะให้มีการอุทิศให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายครับ
ซึ่งในความเป็นจริง พระไตรปิฎกไม่ได้แสดงในเรื่องของการใช้น้ำ เทน้ำอันเป็นการแสดงถึงการอุทิศส่วนกุศลครับ ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่มีเพียงการเทน้ำ หลั่งน้ำ แสดงถึงการสละ บริจาคให้ มีพระเจ้าพิมพิสารถวายวัดเวฬุวันโดการหลั่งน้ำ แต่เมื่อพระเจ้าพิมพิสาร อุทิศส่วนบุญที่ท่านทำ ท่านก็ไม่ได้ใช้น้ำ ท่านก็เปล่งวาจากล่าวอุทิศส่วนกุศลให้ญาติครับ ดังนั้นการใช้น้ำในการอุทิศส่วนกุศล ก็เป็นความเข้าใจในเหตุผล 3 ประการที่กล่าวมา ซึ่งก็ค่อยๆ คลาดเคลื่อนจากความเข้าใจในสมัยพุทธกาล กลายเป็นประเพณีนิยมไปครับ
ในความเป็นจริงแล้ว การอุทิศส่วนบุญให้ สำคัญที่เจตนาของผู้ที่อุทิศ ไม่ได้อยู่ที่การเทน้ำ หากไม่มีเจตนา ตั้งใจจะอุทิศให้ญาติเลย แต่ก็มีการเทน้ำ บุญก็ไม่เกิดขึ้น ที่เป็นการอุทิศส่วนกุศล เพราะการอุทิศส่วนกุศลอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่อาการเทน้ำ บุญจึงอยู่ที่ใจเป็นสำคัญครับ และก็ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวคำบาลีต่างๆ ที่ว่า..ยถา วาริวหา ปูราปริ ปูเรนฺติ ... เพราะการอุทิศส่วนกุศลสำคัญที่เจตนา หากมีเจตนาอุทิศให้ กล่าวภาษาอะไร แต่มีเจตนาอุทิศแล้ว บุญเกิดขึ้น คือ การอุทิศส่วนกุศล เมื่อผู้เป็นญาติล่วงรู้และอนุโมทนา ญาติก็ได้รับบุญคือ บุญเกิดกับญาติเองที่เกิดกุศลจิตที่อนุโมทนาครับ และก็ไม่จำเป็นต้องเอาน้ำไปเทที่ต้นไม้ด้วยความไม่รู้ แต่หากมีเจตนารดน้ำต้นไม้ก็ดีครับ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๒๙ "เมื่อบุคคลให้ทาน กระทำการบูชาด้วยของหอมเป็นต้น แล้วให้ส่วนบุญว่า ขอส่วนบุญ จงมีแก่บุคคลชื่อโน้น หรือว่า ขอส่วนบุญจงมีแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ พึงทราบว่า เป็นบุญกิริยาวัตถุอันเกิดแต่การให้ส่วนบุญ"
คำอุทิศส่วนกุศลที่มูลนิธิศึกษาศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้กล่าวหลังจากสิ้นสุดการสนทนาธรรม ดังนี้ "ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนกุศล ที่ได้บำเพ็ญแล้วในวันนี้ แก่มารดาบิดา และผู้มีพระคุณ ทั้งในปัจจุบันชาติ และในอดีตอนันตชาติ แก่ญาติและมิตรสหายผู้ล่วงลับไปแล้วตลอดจนเทพยดาและอมนุษย์ทั้งหลาย ขอจงมีจิตโสมนัสยินดี อนุโมทนาในส่วนกุศล โดยทั่วกันเทอญ" โดยไม่ได้ใช้น้ำเลย ทั้งหมดนั้น เพื่อประโยชน์คือการอนุโมทนาของผู้อื่น ครับ
คำว่า สัมภเวสี แปลว่า ผู้แสวงหาการเกิด หมายความว่า เป็นผู้ยังต้องเกิดอีก ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป ตายแล้วเกิดทันที ยังต้องท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป ดังนั้น เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้ชื่อว่า เป็นสัมภเวสี ทั้งหมด คำว่า สัมภเวสี ผู้แสวงหาการเกิด หมายความว่า เป็นผู้ยังต้องเกิดอีก ถ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้นเป็นตัวโตทันทีเลย อย่างเช่น เทวดา ช่วงระหว่างบุคคลใหม่ กับบุคคลเก่าต่อเนื่องกันทันที เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น จึงทำให้จำเรื่องราวต่างๆ และสิ่งที่ตนเคยทำทั้งดีและไม่ดีไว้ในเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ ได้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องการให้ทาน รักษาศีล และการอบรมเจริญปัญญา เป็นความดีที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เมื่อได้เจริญกุศลแล้ว ยังสามารถเจริญกุศลต่อได้อีกด้วยการอุทิศส่วนกุศล ให้ผู้อื่นได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา ซึ่งเป็นกุศลเจตนา ที่มุ่งจะให้ผู้ได้อนุโมทนา อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องใช้วัตถุสิ่งของอะไรเลย นอกจาก สภาพจิตที่ดีงามเท่านั้น ซึ่งขณะที่อนุโมทนา ก็เป็นกุศลจิตของผู้ที่อนุโมทนาเอง เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล เพราะบางคนก็ไม่อนุโมทนา ขณะที่ไม่อนุโมทนา ไม่ใช่กุศลเลย
การอุทิศส่วนกุศล เป็นความดี เมื่อเป็นเหตุที่ดีแล้ว จะไม่เป็นเหตุนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี ได้เลย ครับ.
....อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...