ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๖

 
khampan.a
วันที่  24 มี.ค. 2562
หมายเลข  30582
อ่าน  1,343

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๖



~ ลาภ คือ สิ่งที่ได้มา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ปกติแล้วใครบ้างที่ไม่ติดข้อง? ทุกคนย่อมพอใจเป็นธรรมดา แต่การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจ เห็นโทษว่า ตราบใดที่ยังมีความติดข้องอยู่ ยังไม่พ้นจากการที่จะต้องตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิดตลอดไป ไม่มีวันสิ้นสุดเลย แต่ละชาติที่ผ่านไปไม่เหลือเลย จะมีลาภสักเท่าไหร่ จะมียศสักเท่าไหร่ จะมีชื่อเสียงอะไรก็ตามแต่ แล้วอยู่ไหน? เพียงแค่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไปเท่านั้น

~ ทุกคนยังมีความติดข้องในรูป ในเสียง ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) สิ่งที่ได้มา คือ ลาภ ก็เป็นที่ติดข้องยินดีพอใจ แต่ถ้ามีการฟังพระธรรมก็จะทำให้เรามีความเข้าใจว่า การที่เราติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในสิ่งที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญอะไรก็ตามแต่ เพราะเหตุว่ายังไม่เข้าใจในความเป็นธรรมจริงๆ ว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรนอกจากธรรม (สิ่งที่มีจริง) เพราะฉะนั้น แค่ประโยคที่ว่า "ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) " พระสูตร ทั้งหมด พระวินัยทั้งหมด พระอภิธรรมทั้งหมด เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา

~ คนที่มุ่งลาภ จะเห็นแก่คนอื่นหรือว่าเห็นแก่ตัวเอง พิจารณาชีวิตประจำวัน เราเห็นแก่ตัวเองหรือว่าเราเห็นแก่ผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นลาภ เป็นของ ตั้งแต่ของรับประทาน (ของกิน) ของใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือว่าคิดถึงคนอื่นบ้างหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา ทั้งหมด ย่อมมาจากจิต เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตเห็นได้ว่า กิริยาอาการของแต่ละคน เป็นไปเพื่อตนเอง หรือว่า เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ซึ่งไม่สามารถที่จะหมดได้ทันทีเลย กิเลสมีมากมายมหาศาล การที่มีการฟังพระธรรมขณะนี้ รู้หรือเปล่าว่าเป็นความอดทนที่จะรู้จักสภาพธรรมซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนานที่จะได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

~ ผู้ที่กำลังฟังพระธรรมทั้งหมด เป็นผู้ที่ต้องการเข้าใจความจริง ซึ่งเป็นความถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องละความไม่รู้และละกิเลส ที่จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวถึงสภาพธรรมโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ประโยชน์อยู่ที่คนที่เข้าใจ

~ คนที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้ เป็นปุถุชน แต่ปุถุชนที่ฟังธรรมเข้าใจ เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นคนที่ดีงามกว่าคนที่ไม่ได้ฟังธรรม เพราะมีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูกสามารถที่จะรู้หนทางที่จะเป็นอยู่ในโลกนี้ด้วยความเป็นคนดี เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้จนกระทั่งสามารถที่จะขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถนอกจากจะเป็นคนดียังเป็นพระอริยบุคคลได้ด้วยความเข้าใจถูกความเห็นถูก

~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูก กิเลสที่มีมากในสังสารวัฏฏ์ซึ่งแต่ละคนประมาณไม่ได้เลยสามารถจะค่อยๆ ลดละคลายลงไปทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะถึงอภิสมัย คือ สมัยที่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ได้ยินได้ฟังชาติแล้วชาติเล่า วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ว่า ทุกคำที่ได้ฟังเป็นสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ที่สามารถจะเข้าใจได้

~ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงเหตุว่า การกระทำเป็นที่ทุจริตต่างๆ ทำร้ายตัวเองและคนอื่น เพราะฉะนั้น ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเลย เกิดก็เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย ทำร้ายตนเอง

~ ฟังธรรมเพื่อรู้ว่าเป็นธรรม เพื่อเข้าใจธรรม เท่านี้เอง สามารถถึงการดับกิเลสได้ เพราะรู้ว่าเป็นธรรม ฟังธรรมจนเป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีเรา

~ ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นไปตามกรรมที่กระทำแล้ว จะไม่ให้อยู่ก็ไม่ได้ ใครจะไม่ให้เกิดได้ไหม? เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดขึ้นเป็นไป แต่ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรม คำนี้คำเดียวที่จะต้องเข้าใจขึ้น เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่อะไรทั้งหมด นอกจากเป็นธรรม

~ ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นจะไม่มีอวิชชา (ความไม่รู้) ไม่มีกิเลสใดๆ แม้ความติดข้อง เพราะฉะนั้น กำลังฟังธรรมท่ามกลางอกุศล แต่ก็ไม่ต้องไปสนใจที่จะเป็นตัวตนที่จะไปละ แต่เข้าใจเมื่อไหร่ ความเข้าใจนั่นแหละกำลังทำหน้าที่ที่จะค่อยๆ ละ

~ ฟังพระธรรม ต้องรู้ว่าเป็นเรื่องละเท่านั้น เพราะว่ามีแต่สิ่งที่จะต้องละ อกุศลมากมายยังอยู่เต็ม

~ ความประพฤติที่ประเสริฐ คือ ในขณะที่เป็นกุศล

~ กุศล ขาดหิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ไม่ได้ และ อกุศล ก็ขาดอหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) และอโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) ไม่ได้ แต่สภาพธรรมที่จะคุ้มครองโลก ต้องเป็นหิริและโอตตัปปะ

~ ถ้าไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่เห็นความละเอียดลึกซึ้งของแต่ละคำ ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจในคำสอนที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทุกอย่างก็ผิดพลาด เพราะไม่ได้รู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง

~ ความเห็นถูก แม้เพียงเริ่ม วันหนึ่งจะเพิ่มขึ้นมากไหม ถ้าเห็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งว่า เพราะความเห็นถูกเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างละจากสิ่งที่ไม่ดีได้ ถ้าไม่มีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ยังเห็นว่า กิเลส ดี มีเงินมากๆ ดี ทุจริตก็ไม่เห็นเป็นไร แล้วอย่างนี้จะแก้ไขอะไรได้ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มต้นจากแต่ละหนึ่งคน (ที่มีความเห็นที่ถูกต้อง) เมื่อรวมกัน ก็มากขึ้น

~ ประโยชน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมคือทรงเห็นว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้เขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุดประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม แม้ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล ก็เพื่อให้เขาได้ฟัง ทรงอนุเคราะห์ เพราะเหตุว่า ในสังสารวัฏฏ์ที่แล้วมาและในอนาคตไม่มีวันจบสิ้น ถ้าไม่มีการรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความไม่รู้หมดไป เพราะเกิดมาด้วยความไม่รู้แล้วก็ยังไม่รู้ ก็จะต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดต่อไป

~ พอใจแล้วก็แสวงหา เหนื่อยยากปานใดก็แล้วแต่ ไม่รู้เลยว่าเดือดร้อนแค่ไหน พอได้มาแล้วก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น แต่ก็ต้องจากพลัดพรากสิ่งนั้นไป เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไรจากความที่ไม่ได้ติดข้องแล้วก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นให้ติดข้อง และเพียงให้ติดข้องเกิดขึ้นปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป แต่ความติดข้องนั้นยังอยู่สะสมอยู่ในจิต พอที่จะทำให้เกิดความติดข้องในสิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ

~ ต้องเป็นคนที่อาจหาญ เกิดมาแล้วต้องตายทุกคน ก่อนตาย ก็ทำดี และต้องเข้าใจธรรมด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็ดีได้เฉพาะเพียงส่วนที่สะสมมา แต่ว่าถ้าดีเพราะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ความดีนั้นก็เพิ่มขึ้น มากขึ้น ไม่เห็นจะต้องกลัวตายเลย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องตายกันทุกคน วันนี้ก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ตายที่ไหนก็ได้

~ หนึ่งชาติที่เกิดมาเป็นคนนี้ แล้วก็จะเป็นคนนี้ได้อีกไม่นาน ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นคนนี้นานเท่าไหร่ ต่อไปก็จะเป็นคนใหม่ เพราะฉะนั้น คนใหม่ก็มาจากคนนี้ คนนี้ทำอะไรไว้สืบเนื่องมาจากแสนโกฏิกัปป์ ก็จะปรุงแต่งให้ขณะต่อไปจากโลกนี้ สู่โลกอื่น เป็นคนใหม่ และไม่รู้ว่ากรรมที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด กรรมไหนจะให้ผล เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ละเว้นแต่ละโอกาส แต่ละขณะมีค่าอย่างยิ่งที่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะว่า ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งขณะ จะไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

~ ถ้าสะสมเหตุที่ดีมาแล้วที่จะได้ฟังพระธรรม ใครจะห้ามปรามอย่างไรไม่สำเร็จ เพราะว่า มีปัจจัยที่จะรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร จะไม่ให้ฟังธรรมก็ไม่ได้ เพราะว่าสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ จะให้ทำอะไรผิดๆ ถูกชักชวน ก็ไม่ไป เพราะว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วก็จะค่อยๆ นำไปสู่ความเข้าใจขึ้น และนำไปสู่กุศลธรรมทั้งปวง เพราะเหตุว่า ปัญญา รู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด เมื่อรู้ว่าอะไรผิด จะทำสิ่งที่ผิดหรือ เพราะฉะนั้น ปัญญาจะไม่นำไปสู่ทางที่ผิดเลย แต่จะนำไปสู่ทางที่ถูก

~ เมื่อเกิดมาแล้ว สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ เป็นคนดี ใครจะเป็นอย่างไร ก็ทำแทนกันไม่ได้ จะเอาความดีของเราไปให้คนอื่นก็ไม่ได้ ใครจะเอาความชั่วของเขามาให้เราก็ไม่ได้

~ เพื่อนคือขณะที่หวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล นั่นคือ เพื่อนหรือมิตร เพราะฉะนั้น มิตรจะไม่หวังร้าย จะไม่โกรธ จะไม่เกลียด จะไม่ทำร้ายใครเลย

~ ทรัพย์ในโลกไม่สามารถติดตามใครไปได้เลย จะจากโลกนี้ไปวันไหน มีทรัพย์สมบัติสักเท่าไหร่ แม้แต่ร่างกายที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ไม่สามารถติดตามไปได้เลย นอกจากคุณความดี ความเข้าใจธรรม หรือ ความชั่ว ความไม่เข้าใจธรรม ก็แล้วแต่ว่าคนนั้นจะสะสมอะไร ในขณะไหน ก็สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นสังสารวัฏฏ์ต่อไป

~ ปัญญาจะนำไปในกิจทั้งปวงที่ดี ปัญญา ไม่ทำให้ฆ่าใครโกรธใครเกลียดใคร เพราะปัญญารู้ว่า ขณะที่โกรธ เกลียด นั้น อกุศลเกิดแล้วที่ตัวเอง บุคคลที่เราโกรธ เขาก็สบายดี เพราะฉะนั้น อกุศลที่เกิดกับเรานี่แหละที่จะให้ผลกับเรา เป็นโทษกับเรา เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้ ก็มีความเป็นมิตรมากกว่าที่จะโกรธ

~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นอุบาสกอุบาสิกา มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือ เรารู้ว่าอย่างอื่นพึ่งไม่ได้ วิชาการทั้งหลาย เรียนมามากมายสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ว่า ถ้ามีความรู้ความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทุกอย่างที่ไม่ดี ก็จะลดน้อยลง เพราะรู้ว่า เหตุไม่ดีต้องนำมาซึ่งผลที่ไม่ดีแล้วใครจะอยากได้ผลที่ไม่ดี?"

~ ไม่รู้ว่าเราเคยเกิดเป็นอะไรมาแล้วบ้าง เป็นงู เป็นนก เป็นคนเป็นเศรษฐี เป็นคนขอทาน เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เกิดได้หมด แต่ไม่เหลือสักอย่าง ทุกอย่างที่เกิดแล้วก็ต้องดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่กุศลและอกุศล จะปรุงแต่งเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลต่อไป

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้ค่อยๆ มีความเห็นที่ถูกต้อง เกิดปัญญา มีความรู้ ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรหรือไม่ควร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าหลงเข้าใจ ว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี คนนั้นก็ทำชั่ว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๕


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
mammam929
วันที่ 24 มี.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มกร
วันที่ 24 มี.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 25 มี.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
siraya
วันที่ 26 มี.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 26 มี.ค. 2562

....ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ....

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturonghan
วันที่ 31 มี.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ