น้ำปานะที่ถูกต้อง คำว่าสุกด้วยไฟไม่ควรและพระฉันเมล็ดทานตะวัน
ผมอ่านลิ้ง มีความสงสัยในข้อความ ''สุกด้วยไฟ ''ไม่ควร เป็นน้ำปานะ"
1. ถ้าอย่างนี้ น้ำเก๊กฮวย ชา กาแฟ กระเจี๊ยบ ที่นำดอกมาตั้งไฟเช่น เก๊กฮวย ก็ไม่ใช่น้ำปานะ ใช่ไหมครับ ผมเข้าใจถูกต้องไหม ครับ
2. ผมไม่เข้าใจ คำว่า ที่สุกด้วยพระอาทิตย์ คือ อย่างไร ครับ เอามาวางตากแดดหรือครับ?
3.อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่ควร ผมเห็นทุกๆ วัดเลยครับ แสดงว่าผิดกันทั้งนั้น?
4.หลังเที่ยง
4.1พระแทะ เมล็ดทานตะวัน
4.2และ มีพระบางรูปเอามะขามป้อมดองมาจิ้มเกลือ ฉันได้หรือไม่
4.3 เครื่องดื่มM100 เป๊ปซี่ ชาโออิชิ จี๊บเลี้ยง ฉันหลังเที่ยงได้มั๊ย
ขอผู้รู้ธรรม อธิบายความกระจ่างหน่อยครับ ขอบคุณมากครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เบื้องต้นที่ควรจะได้เข้าใจ คือ น้ำปานะ คือ น้ำผลไม้ที่ทรงอนุญาตไว้ มี ๘ ชนิด กล่าวคือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลหว้า ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะซาง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือองุ่น ๑ น้ำปานะทำด้วยเง่าบัว ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑ และอื่นๆ ตามสมควร เมื่อคั้นเอาเฉพาะน้ำกรองไม่ให้มีกาก พระภิกษุรับประเคนแล้วฉันได้ตลอดวันและคืนหนึ่ง
1. ถ้าอย่างนี้ น้ำเก๊กฮวย ชา กาแฟ กระเจี๊ยบ ที่นำดอกมาตั้งไฟเช่น เก๊กฮวย ก็ไม่ใช่น้ำปานะ ใช่ไหมครับ ผมเข้าใจถูกต้องไหม ครับ
-สิ่งที่กล่าวถึง ถ้าถวายพระภิกษุ ในเวลาเช้าชั่วเที่ยง ท่านสามารถดื่มได้ แต่ถ้าหลังเที่ยงไปแล้ว ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ใช่น้ำปานะ ตามพระวินัย ครับ
2. ผมไม่เข้าใจ คำว่า ที่สุกด้วยพระอาทิตย์ คือ อย่างไร ครับ เอามาวางตากแดดหรือครับ?
-ต้องเข้าใจว่า พระภิกษุเป็นเพศที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง จะมามีความประพฤติเหมือนอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ จะมาก่อไฟ หุงต้มอะไรต่างๆ ซึ่งจะต้องมีอุปกรณ์ต่างๆ นั้น ซึ่งแสดงถึงชีวิตของคฤหัสถ์ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต สำหรับการทำน้ำปานะ ที่สุกด้วยแสงอาทิตย์ หมายถึง เอาน้ำปานะ ไปตากแดด เพราะเหตุว่าแดดที่แรงซึ่งมีความร้อน ย่อมทำให้น้ำดังกล่าวสุกได้ ไม่ต้องประกอบกิจการมากเหมือนอย่างคฤหัสถ์ น้ำปานะอย่างนี้ สมควรแก่พระภิกษุ ไม่ต้องอาบัติในส่วนนี้ ครับ
3.อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่ควร ผมเห็นทุกๆ วัดเลยครับ แสดงว่าผิดกันทั้งนั้น?
-ถ้าไม่เป็นไปตามพระวินัย ก็ไม่ถูกต้อง ผิด ก็คือ ผิด ครับ
4.หลังเที่ยง
4.1พระแทะเมล็ดทานตะวัน
-เป็นอาบัติปาจิตย์ ในข้อบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือ หลังเที่ยงไปแล้ว ในสิกขาบทที่ ๗ แห่งโภชนวรรค ดังนี้ว่า "อนึ่ง ภิกษุใด เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ดี ซึ่งของฉัน ก็ดี ในเวลาวิกาล เป็นปาจิตตีย์"
ตามความเป็นจริงแล้ว เวลาหลังเที่ยงวันไปแล้วเรียกว่าเวลาวิกาล ในพระวินัยปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลาย ดื่มหรือฉันได้ในบางสิ่งเท่านั้น กล่าวคือ ดื่มน้ำเปล่าได้ ดื่มน้ำปานะได้ บริโภคเภสัชได้เมื่อมีเหตุอันสมควร ส่วนอาหารทั้งหลาย จะดื่มหรือฉันไม่ได้โดยประการทั้งปวง ถ้าล่วงละเมิด ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังนั้น เมล็ดทานตะวัน ก็เป็นอาหาร ในเวลาวิกาล ภิกษุฉันไม่ได้ ครับ
4.2และ มีพระบางรูปเอามะขามป้อมดองมาจิ้มเกลือ ฉันได้หรือไม่
-ข้อความในพระวินัยปิฎก มีว่า สมอ มะขามป้อม เป็นผลไม้ที่เป็นเภสัช (ยา) ภิกษุรับประเคนแล้ว สามารถบริโภคได้ตลอดชีวิต แต่ต้องบริโภคเมื่อมีเหตุ คือ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ แต่ถ้าบริโภค โดยไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ก็มีโทษ คือ เป็นอาบัติทุกกฏ ก็ขอให้พิจารณาอย่างนี้ ครับ
4.3 เครื่องดื่มM100 เป๊ปซี่ ชาโออิชิ จี๊บเลี้ยง ฉันหลังเที่ยงได้ไหม
-ไม่ใช่น้ำปานะ ตามพระวินัย ถ้าฉันหลังเที่ยงไปแล้ว ก็เป็นอาบัติ แต่ถ้ามีผู้ประเคนในเวลาเช้าชั่วเที่ยง พระภิกษุสามารถฉันได้ ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...