ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๐
~ ภิกษุ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งกาย แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง แล้วขัดเกลากิเลส ด้วยการศึกษาพระธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่มีอะไรที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมแล้วก็ขัดเกลากิเลสตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ นั่น จึงจะเป็นภิกษุในธรรมวินัย
~ คฤหัสถ์ยุคนี้ดีใจกันใหญ่ ถวายเงินแก่พระภิกษุ (แต่) สมัยโน้น ภิกษุรับเงินและทอง คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา (กระจายข่าวให้รู้ทุกที่ทุกสถาน ว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมแก่เพศบรรพชิต) แต่สมัยนี้คฤหัสถ์ชักชวนกันมอบเงินให้แก่พระภิกษุ เป็นการรักษาพระพุทธศาสนา หรือ เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา?
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมจริงๆ จะรู้เลย ว่า ชีวิตที่แล้วมาในสังสารวัฏฏ์ มีค่าตรงไหน แต่ละครั้ง แต่ละหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะก็ผ่านไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เดี๋ยวนี้ชาตินี้ เราคิดว่าอะไรมีค่า รักษาไว้ แต่เสร็จแล้วก็ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ อะไรมีค่ากว่านั้น ประมาณค่าไม่ได้เลย คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำจริงทุกคำ
~ พระธรรมทั้งหมดเพื่อไม่ประมาท เพื่อเข้าใจถูกว่า กิเลสมีมาก และการค่อยๆ เข้าใจธรรมเป็นหนทางดีที่ทำให้สามารถละกิเลสได้ ถ้าใครคิดว่า ละกิเลสได้โดยไม่เข้าใจธรรม ผู้นั้นเข้าใจผิด
~ ถึงแม้ว่าจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ถ้าปราศจากปัญญา ก็ย่อมเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเห็นคุณค่าของปัญญาจริงๆ ก็ย่อมจะไม่ปรารถนารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) เมื่อเจริญกุศล แต่ปรารถนาจะเจริญปัญญาให้ถึงความสมบูรณ์ที่สามารถจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเกิดอกุศลแม้ประเภทหนึ่งประเภทใดเลย ทรงแสดงโทษของอกุศลทั้งปวง เพื่อที่จะให้พุทธบริษัทได้พิจารณาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามกำลังของปัญญา แต่ถ้าผู้ใดระลึกได้ สติเกิด ขณะนั้นก็เป็นกุศล แทนอกุศล
~ จุดประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) เพื่อได้รู้ความจริงที่จะดับกิเลส ทรงแสดงหนทางซึ่งใครก็ไม่รู้จักกิเลส ให้ได้รู้จัก แล้วก็อดทนเพื่อที่จะได้สามารถค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะปัญญาเท่านั้น ที่จะรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด
~ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ดับกิเลสถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่งคือไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลย เพราะฉะนั้น คำสอนทุกคำของพระองค์เป็นไปเพื่อการค่อยๆ ขัดเกลาละคลายกิเลส
~ กิเลสไม่มีใครจะไปขัดเกลาได้นอกจากปัญญา ปัญญามาจากไหน ถ้าไม่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ให้ได้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส
~ ธรรมดาของคน น้อยคนที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก คิดดู คำพูดแค่นี้ น่ากลัวไหม? เพราะว่ากิเลสมีมากทุกวันด้วยความไม่รู้หรือรู้ก็ตาม แต่ก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ยังจะต้องเกิดอยู่เพราะเหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้น ความไม่ดีทั้งหมด ไม่ได้นำไปสู่สุคติ
~ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้เป็นมรดกที่ล้ำค่ากับชาวพุทธ ก็คือ คำจริงทุกคำที่เป็นประโยชน์ทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะฉะนั้น ทุกคนถ้าเห็นคุณอย่างนี้ บูชาคุณด้วยความเป็นผู้ตรง ศึกษาธรรมให้เข้าใจ ประกาศคำสอนที่ถูกต้องเพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชาติต่อๆ ไป
~ ถึงเวลาหรือยังที่จะศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจให้ถูกต้องเพื่อดำรงรักษาพระศาสนา เพราะชีวิตสั้นมาก สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือได้เข้าใจธรรมแล้วก็ได้ประพฤติปฏิบัติทุกอย่างที่จะเป็นการสืบต่อทะนุบำรุงพระศาสนาที่ถูกต้อง ให้ยั่งยืนต่อไป
~ การที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะเป็นที่ผู้กตัญญูกตเวที ก็คือ กล่าวคำของพระองค์ให้ได้รู้ทั่วกัน เพื่อที่จะได้ไม่เปลี่ยน แล้วก็ไม่คิดเองซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้คนที่เคยไม่เข้าใจเลย เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงขึ้น และปัญญานั้นก็จะเป็นสังขารขันธ์ (เครื่องปรุงแต่ง) ค่อยๆ ปรุงแต่งให้ความคิดและการกระทำทั้งหมดในชีวิตประจำวัน เป็นไปในทางที่ถูกต้องซึ่งจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลย
~ การที่เริ่มค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก ก็จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดงพระธรรม สัตว์โลกก็จะมืดบอด ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ก็หลงผิดไป
~ ทรัพย์สมบัติเงินทอง มี หมดไปได้ แต่ความเข้าใจธรรม มี แล้วเพิ่มขึ้น, เงินทองเอาไปไม่ได้เลย มี แล้วก็หมด ใช้ไปก็หมด ถูกขโมย ก็หมด แต่ปัญญาความเห็นถูก เมื่อมีแล้ว เพิ่มขึ้น ไม่มีใครสามารถลักขโมยไปได้เลย
~ การคบหาสมาคมก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญ หรืออกุศลธรรมเจริญ จะทำให้ความเห็นผิดเจริญ (เพิ่มขึ้น) หรือว่าจะทำให้ความเห็นถูกเจริญ จะทำให้ปัญญาเจริญ หรือว่าจะทำให้อวิชชาเจริญ
~ ไม่คด ไม่งอ อะไรถูกก็ถูก อะไรผิดก็ผิด เพราะว่าธรรมตรงอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรม ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อ แต่ฟังแต่ละคำละเอียดขึ้นๆ เพื่อที่จะรู้ว่า ถูกต้องตรงอย่างไร ซึ่งขณะนั้น ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาทที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)
~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะรู้ได้ ก็มืด แล้วก็ยิ่งทับถมความมืดมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอะไรจะประเสริฐที่สุด?
~ ทุกอย่างแสนสั้นชั่วคราว แล้วประโยชน์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็มีแต่ความไม่รู้และความติดข้อง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น, เมื่อเห็นค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุด ใครจะละทิ้ง?
~ ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีความเข้าใจและเห็นประโยชน์ แล้วก็ด้วยความหวังดี ก็แสดงความจริงความถูกต้องของพระธรรมวินัย ให้คนอื่นได้รู้ตามความเป็นจริง นี่คือ จุดประสงค์ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนโลก ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนคนอื่นได้ แต่สามารถเป็นมิตรหวังดีที่จะให้เขาได้เข้าใจถูก เพื่อ...เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ก็จะทำให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าตราบใดยังไม่รู้ ไม่มีทางที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องได้เลย
~ ถ้าไม่มีใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครล่ะจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ฝากไว้กับคนใดคนหนึ่ง หรือ บริษัทหนึ่งบริษัทใดเลย และข้อความในพระไตรปิฎก ก็มีว่า ยิ่งเปิดเผย คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา ยิ่งรุ่งเรือง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิดด้วยคำของบุคคลอื่นนานแสนนาน ถึงเวลาแล้วที่เมื่อมีใครก็ตามที่เข้าใจถูกต้อง ก็ช่วยกันแสดงความจริง เพื่อประโยชน์ และเพื่อพระพุทธศาสนาจะได้รุ่งเรืองเปิดเผยทุกคำ ทั้งพระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม เมื่อกล่าวรวมแล้ว ก็คือ พระธรรมวินัย
~ ทุกท่านที่มีความสุขในปัจจุบันชาตินี้ คงจะระลึกถึงอดีตกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วไม่ได้ก็จริง แต่ขณะใดที่เป็นกุศลวิบาก มีการได้รับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ดี ขณะนั้นก็เป็นผู้ที่สามารถจะพิจารณาได้ว่า ต้องเกิดขึ้นเป็นผลของกุศลเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วได้สั่งสมไว้แล้ว คือ ไม่สูญหาย เมื่อเหตุได้กระทำไว้แล้ว สะสมไว้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น
~ การศึกษาพระธรรม ต้องรู้ว่าเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าศึกษาเรื่องของอวิชชา (ความไม่รู้) ก็เพื่อเห็นโทษ และเมื่อเห็นโทษของอวิชชาแล้ว ก็จะได้หาทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ความรู้ เพื่อที่จะละความไม่รู้
~ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลจริงๆ ถ้าท่านเป็นผู้ที่มั่นคงในกุศลแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไร จะไม่มีโทษภัยอะไรซึ่งเกิดเพราะกุศลของท่าน แต่ถ้าท่านจะได้รับโทษภัยต่างๆ ให้ทราบว่าไม่ใช่เพราะกุศลของท่าน แต่การที่ท่านได้รับโทษภัยนั้น เพราะท่านมีอกุศลธรรมของท่านเอง
~ พบกัน เป็นมิตรที่หวังดีจริงๆ ไม่หวังร้ายเลย ไม่ว่าในเรื่องใดทั้งสิ้น เพราะว่า แล้วก็จากกัน เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย แต่ละภพแต่ละชาติ
~ เป็นโอกาสที่จะได้เป็นคนดี ด้วยการเข้าใจพระธรรม แล้วก็สะสมความเห็นถูก เพื่อที่จะขัดเกลาจิต คนฉลาด เห็นโทษของกิเลส ขัดเกลากิเลสเลย ไม่รอ เพราะถ้ารอ ก็เพิ่มกิเลสมากขึ้นไปอีก
~ ตายแล้ว ทำความดีได้ไหม? ไม่ได้ รอก่อนได้ไหม ขอทำทานเสียก่อนแล้วจะตาย? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของความตาย ซึ่งจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ ก็ย่อมเป็นเครื่องเตือน ให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ในการทำความดี
~ คนที่เห็นประโยชน์จริงๆ ในชีวิต ย่อมรู้ว่า ทรัพย์สมบัติเอาไปไม่ได้ ทุกอย่างเอาไปไม่ได้ แต่ความดี ความเข้าใจพระธรรม ก็จะนำทางต่อไป ให้เป็นคนที่สะสมที่จะเป็นคนที่ดี ในชาติต่อๆ ไป จนกว่ากิเลสจะหมด
~ ถ้าวันนี้หรือพรุ่งนี้จะจากโลกนี้ไป ยังจะโกรธคนอื่นอยู่หรือไม่? เป็นโทษสำหรับใคร ในขณะที่โกรธ?
~ ไม่มีใครทราบว่า พรุ่งนี้หรือขณะต่อไป กรรมใดจะให้ผล ทุกท่านยังแข็งแรงในขณะนี้ แต่ใครจะทราบว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุ คือ กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เพราะฉะนั้น หนทางที่ดีที่สุด คือ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ที่จะเจริญกุศล สะสมความดีทุกประการ เท่าที่สามารถจะกระทำได้
~ ธรรมดาคนทั้งหลายผู้ตายไปแล้ว แล้วไปสู่ปรโลก (โลกหน้า) นั้น ย่อมจะขนเอาทรัพย์ไปด้วยไม่ได้ สัตว์ทั้งหลายจะพาไปได้ก็แต่กุศลและอกุศลที่ตนกระทำไว้เท่านั้น เมื่อเกิดมาแล้ว มีโอกาสได้พบกัน จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อกัน หรือว่า จะทำร้ายกัน?
~ ถ้าสามารถที่จะอดทนได้ในขณะนั้น โทสะก็ไม่เกิด วาจาที่ไม่ดีก็ไม่มี แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องกล่าวถึงวาจาที่รุนแรง แม้แต่เพียงคำเล็กน้อยที่เกิดจากใจที่โกรธ ก็ไม่มี
~ ชีวิตอาจจะอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ได้ อาจจะสิ้นชีวิตในวันนี้ก็ได้ มีโอกาสที่จะฟังพระธรรม ก็ควรรีบฟัง รีบสะสมปัญญาทันที มีโอกาสที่จะได้สะสมกุศล ก็สะสมทันที เป็นคนดีทันที ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ซึ่งเป็นการเติมกุศลทุกๆ วัน เพื่อชำระล้างอกุศล เพราะถ้าไม่คอยเติมกุศลแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
~ ความเห็นผิด เป็นอกุศลธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งพัดไป ทำให้ไม่กลับมาสู่ความเห็นถูก เพราะฉะนั้น เป็นอันตรายมาก ถ้ามีความเห็นผิดเพียงเล็กน้อย แล้วจะทำให้ความเห็นผิดนั้น พาไปสู่ความเห็นผิดที่มากขึ้นและลึกขึ้น ก็ยากแก่การที่จะละ
~ เขา ไม่ดี นั้น เรื่องของเขา ถ้าจิตของเรา ไม่ดีด้วย
ในขณะนั้น ก็ไม่ดีทั้งคู่.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๙๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงแสดงให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเกิดอกุศลแม้ประเภทหนึ่งประเภทใดเลย ทรงแสดงโทษของอกุศลทั้งปวง เพื่อที่จะให้พุทธบริษัทได้พิจารณาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามกำลังของปัญญา แต่ถ้าผู้ใดระลึกได้ สติเกิด ขณะนั้นก็เป็นกุศล แทนอกุศล
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้คนที่เคยไม่เข้าใจเลย เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงขึ้น และปัญญานั้นก็จะเป็นสังขารขันธ์ (เครื่องปรุงแต่ง) ค่อยๆ ปรุงแต่งให้ความคิดและการกระทำทั้งหมดในชีวิตประจำวัน เป็นไปในทางที่ถูกต้องซึ่งจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลย
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ