จะเกื้อกูลให้พ่อแม่หรือคนในครอบครัวหันมาสนใจฟังพระธรรมได้อย่างไร
เนื่องจากว่าผมเองเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมมาพอสมควร ไม่ถึงกับนานมาก แต่ก็เห็นถึงประโยชน์ของพระธรรม เห็นประโยชน์ของการเป็นผู้ที่ตรงต่อพระธรรม เมื่อผมเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์แล้วย่อมเป็นธรรมดาที่ผมอยากเกื้อกูลให้พ่อแม่และทุกๆ คนในครอบครัวหันมาฟังพระธรรม เป็นธรรมดาที่ผมอยากจะให้คนที่ผมรักได้ในสิ่งที่ดีงาม แล้วผมก็เห็นว่าพระธรรมนี่แหละเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่การจะเกื้อกูลให้แต่ละคนมาฟังธรรมได้นั้นเหนื่อยมากครับ ธรรมชาติของคนหากเราบังคับมักจะต่อต้าน อันนี้เป็นสัจธรรมที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้น ผมจึงใช้วิธีการที่เป็นธรรมชาติ คือ เวลาที่ผมเปิดพระธรรมฟังจากมือถือผมก็จะเปิดเสียงดังหน่อยเพื่อให้คนในบ้านได้ยิน แต่บางครั้งการที่เขายังติดในรูปแบบของพระธรรมที่เคยเสพคบมา เช่น จะต้องมีการลงมือปฏิบัติด้วยอุบายต่างๆ พอเปิดธรรมะของท่านอาจารย์ให้เขาฟัง เขาก็บอกฟังไม่รู้เรื่อง กลับไปฟังอันเดิมดีกว่า แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกท้อใจว่าทุกสิ่งไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ความคาดหวังก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา จะไปห้ามไม่ให้มันคาดหวังก็ไม่ได้ (บางคราวผมก็คิดแบบนี้เพราะสติระลึกถึงธรรมที่ได้ฟัง) ต่อไปมีโอกาสผมก็เปิดเสียงพระธรรมอีก กว่าจะเกื้อกูลให้คนในบ้านมาฟังธรรมได้นั้นรู้สึกเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อย เป็นเรื่องท้อใจ ใช้วิธีบังคับก็ยิ่งไม่ถูก จะยิ่งต่อต้าน ก็เปิดให้ฟังไป อย่างน้อยมันผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาก็คงดีกว่าไม่ได้ยินเสียงธรรมะเลย ผมก็ทำอย่างนี้ของผมเรื่อยมา พยายามอย่างสุดความสามารถ หาโอกาส หาจังหวะ เปิดเข้าไป อย่างนี้ บางทีเปิดธรรมะอยู่ คนในบ้านก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นส่วนตัวเลยก็มี บางครั้งผมรู้สึกเหนื่อยครับ ผมอาจจะคาดหวังมากเกินไป ท่านอาจารย์จะมีคำชี้แนะอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
~ ถ้าสะสมเหตุที่ดีมาแล้วที่จะได้ฟังพระธรรม ใครจะห้ามปรามอย่างไรไม่สำเร็จ เพราะว่า มีปัจจัยที่จะรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร จะไม่ให้ฟังธรรมก็ไม่ได้ เพราะว่าสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ จะให้ทำอะไรผิดๆ ถูกชักชวน ก็ไม่ไป เพราะว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วก็จะค่อยๆ นำไปสู่ความเข้าใจขึ้น และนำไปสู่กุศลธรรมทั้งปวง เพราะเหตุว่า ปัญญา รู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด เมื่อรู้ว่าอะไรผิด จะทำสิ่งที่ผิดหรือ เพราะฉะนั้น ปัญญาจะไม่นำไปสู่ทางที่ผิดเลย แต่จะนำไปสู่ทางที่ถูก
~ แต่ละคน เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสะสมความสนใจ สะสมความศรัทธาในพระศาสนามามากน้อยเท่าไหร่ แต่ก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ละคน ในบ้านหนึ่ง ในห้องหนึ่ง คนหนึ่งฟังเพลง อีกคนหนึ่งเล่นเกม อีกคนหนึ่งฟังธรรม ตามการสะสม ใช่ไหม? หยุดไม่ให้ทำ ก็ไม่ได้ แล้วแต่การสะสม
(อ้างอิงจากหัวข้อ ... อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
การตอบแทนบุพการี ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ ผู้กระทำอุปการะมาก่อน มีมารดาบิดา เป็นต้น นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ควรกระทำ และบัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงสรรเสริญ บุตรธิดา ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม เป็นผู้เห็นคุณค่าของพระธรรม แล้วมีความประสงค์ให้บิดามารดาได้ฟังได้ศึกษาด้วยนั้น กล่าวได้ว่า เป็นการตอบแทนพระคุณของท่านอย่างสูงยิ่ง เพราะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ คือ พระธรรม ไม่ได้สาธารณะ (ทั่วไป) กับทุกคน เมื่อไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ย่อมไม่มีโอกาสได้ฟัง ผู้ที่ได้สั่งสมมาดี ย่อมมีโอกาสได้ฟัง และสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ เนื่องจาก ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง จึงต้องมีความอดทน ตั้งใจที่จะฟัง พิจารณาไตร่ตรอง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เริ่มต้นที่ตนเองก่อนแล้ว จึงพูดกับท่านด้วยเหตุด้วยผล ตามที่เข้าใจถ้าหากท่านได้สั่งสมเหตุที่ดีมา สักวันหนึ่ง ท่านอาจจะสนใจที่จะฟังต่อไปก็เป็นไป ครับ ..
... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาที่ท่านอาจารย์ชี้แนะครับ ผมจะตั้งใจฟังพระธรรมต่อไป ส่วนคนในบ้านจะฟังธรรมในแนวแบบที่ผมฟังท่านอาจารย์อยู่หรือไม่นี้ก็ตามแต่เหตุปัจจัยของเขา แต่ผมก็มีหน้าที่เปิดพระธรรมให้คนในบ้านได้ยินเสียงไปด้วยในขณะที่ผมฟังพระธรรม แต่เขาจะฟังหรือไม่ จะเข้าใจหรือไม่ ก็คงต้องตามเหตุตามปัจจัย เมื่อทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เรา ผมก็ไม่อาจบังคับหรือเปลี่ยนแปลงใครได้ อันนี้ก็คงเป็นการแสดงความเป็นอนัตตาจริงๆ ไม่มีใครสามารถบังคับอะไรให้เกิดขึ้นได้จริงๆ ขอเพียงแค่เข้าใจพระธรรม ขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์เมตตาชี้แนะครับ ผมก็เพียงแค่ทำกิจที่ควรทำ อย่างน้อยผมก็สบายใจว่า ผมได้พยายามเกื้อกูลคนในครอบครัวทุกคนที่ผมรักแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็คงแล้วแต่เหตุปัจจัยที่สะสมมาของแต่ละคน ผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ และเมื่อพวกเขาตายจากผมไป ผมก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจทีหลังว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว
ส่วนตัวผมเองนั้นตั้งปณิธานว่าจะฟังพระธรรมต่อไปจนวันตาย ตราบใดที่ยังไม่รู้ซึ้งถึงพระธรรมก็จะไม่เลิกฟัง ต่อให้เกิดอีกล้านชาติผมก็จะฟัง ไม่เสียชาติเกิด ใจมันต้องเด็ดขาดอย่างนี้ เมื่อเดินเส้นทางนี้แล้วต้องไปให้สุดทาง ไม่ลังเล ส่วนในทางโลกนั้นผมก็ขอบอกเลยว่าผมยังมีกิเลสอยู่ ผมยังชอบเที่ยว ชอบเดินทาง ดูหนังฟังเพลงอยู่ อันนี้มันเป็นกิเลสที่ห้ามกันไม่ได้ ผมก็ทำทุกสิ่งที่ผมอยากทำ ผมไม่ได้ฝืนใจกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมรู้ว่า มันไม่ใช่ทาง ไม่มีประโยชน์ที่คนเราจะไปฝืนตนเอง ผิดธรรมชาติ ผมใช้ชีวิตอย่างอิสระ เจอความสมอยากและผิดหวัง แต่ผมจะไม่ห่างเหินจากการฟังพระธรรมแน่นอน ผมเชื่อว่าความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นแหละเป็นหนทางสู่การบรรลุธรรม มันไม่ใช่ตัวตนของใครไปเข้าถึงอะไร แต่มันคือธรรมะที่ทำกิจของธรรมะ ความเข้าใจแท้จริงก็เป็นสภาพธรรมด้วย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นผู้เข้าใจ ไม่มีเราเป็นผู้เข้าใจ หรือ เขาเป็นผู้เข้าใจ มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นเอง
ขอบพระคุณและกราบเท้าท่านอาจารย์ที่เมตตาจุดประกายแสงสว่างให้แก่ผม สาธุ สาธุ สาธุ