สงสัยว่าอาตมาจะต้องปาราชิกเข้าเสียแล้ว
สงสัยว่าอาตมาจะต้องปาราชิกเข้าเสียแล้ว
อาตมาเป็นพระใหม่ เพิ่งบวชได้ประมาณ 2 เดือน ที่วัดใหญ่แห่งหนึ่งในเมือง ตจว.
พระที่นี่มีความเชื่อ และสอนอาตมาว่า "อย่าไปสนใจอาบัติเล็กน้อย ปลงเอาเดี๋ยวก็หาย"
เมื่อบวชเข้ามาได้ใหม่ๆ พระพี่เลี้ยงและพระเก่าหลายรูป ชวนเล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งอาตมาเอง ด้วยความเห็นผิดก็ได้ร่วมวงทำอาบัติเหล่านี้ด้วย
ภายหลังเมื่ออาตมาได้ศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว ก็ได้ลด ละ เลิกพฤติกรรมเหล่านี้ลงจนเกือบหมด (ช่วงเลือกตั้ง อาตมายังใช้ smartphone เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่)
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ อาตมาระลึกได้ว่า การดูหนังออนไลน์ ถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รูปแบบหนึ่ง เปรียบได้ดั่งการขโมย หรือรับของโจร (คนอื่นขโมยมาให้เราดู)
อาตมามีคำถามคาใจดังนี้
1. อาตมาต้องอาบัติปาราชิกแล้วหรือไม่
2. หากอาตมาต้องอาบัติปาราชิก หมายความว่า พระที่บวชให้หลายรูปก็ต้องอาบัติปาราชิกด้วย
แล้วอาตมาจะถือว่าบวชเป็นสงฆ์โดยสมบูรณ์หรือไม่ (พระที่ไม่เข้าข่ายปาราชิกดูหนังออนไลน์ ที่ร่วมทำญัตติ มีไม่ถึง 10 รูป)
3. หากอาตมาต้องอาบัติปาราชิก ควรลาสิกขาเลยหรือไม่ (ตั้งใจจะบวชเอาพรรษา)
4. หากอาตมาต้องอาบัติปาราชิก แต่ไม่เป็นสงฆ์โดยสมบูรณ์ (ตามคำถามข้อ2)
อาตมามีสิทธิ์บวชใหม่ได้หรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรที่จะได้เข้าใจว่า การดูหนังทั่วๆ ไป ตลอดจนถึงการเที่ยวดูการละเล่นประการต่างๆ สำหรับพระภิกษุแล้ว ไม่ถึงกับอาบัติปาราชิก แต่เป็นอาบัติทุกกฏ เทียบเคียงได้กับสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารภพฤติกรรมของภิกษุฉัพพัคคีย์ ที่ไปดูมหรสพบนยอดเขา พระองค์ทรงปรับอาบัติทุกกฏ ตามข้อความในพระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ ๗ ดังนี้ คือ
สมัยต่อมา ที่พระนครราชคฤห์ มีงานมหรสพบนยอดเขา พระฉัพพัคคีย์ ได้ไปเที่ยวดูงานมหรสพ ชาวบ้านเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะ เชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้ไปดูการฟ้อนรำ การขับร้อง และการประโคมดนตรี เหมือน พวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม
ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไปดูการฟ้อนรำ การขับร้อง หรือการประโคมดนตรี รูปใดไป ต้องอาบัติทุกกฏ"
--------------------------
คำกล่าวที่ว่า "อย่าไปสนใจอาบัติเล็กน้อย ปลงเอาเดี๋ยวก็หาย" นั่น เป็นคำกล่าวของผู้ไม่มีความละอาย ครับ แสดงถึงความไม่จริงใจที่จะประพฤติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต และที่สำคัญ อาบัติที่จงใจล่วงละเมิดแล้ว ย่อมเป็นโทษ ถ้าไม่เห็นโทษจริงๆ ไม่สำนึกจริงๆ ปลงก็ไม่หลุด ยังไม่พ้นจากอาบัติข้อนั้น เพราะไม่จริงใจ ไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ เพียงแต่ปากว่าคำปลงอาบัติเท่านั้น
เพศบรรพชิต เป็นเพศที่จะต้องขัดเกลาเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพศที่จะต้องขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เห็นโทษของกิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ แต่การกระทำดังกล่าว ไม่ได้เกื้อกูลต่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะพอกพูนกิเลสทั้งหลาย มีโลภะ เป็นต้นให้เกิดมากขึ้น ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเพศคฤหัสถ์ และขัดต่อความประพฤติเป็นไปของเพศบรรพชิต อันเป็นเพศที่สูงยิ่งอย่างสิ้นเชิง ไม่สมควรเลยที่จะมีความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควรอย่างนั้น เป็นอาบัติมีโทษสำหรับพระภิกษุที่กระทำอย่างนั้น กล่าวคือ เป็นอาบัติทุกกฏ หมายความว่า เป็นการกระทำชั่ว เป็นการกระทำที่ผิด เป็นการกระทำที่แย้งกับกุศลธรรม เป็นการกระทำที่แย้งกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า เป็นการกระทำที่ไม่สามารถก้าวไปสู่การรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริงได้ และ เป็นเครื่องกั้นการเกิดในสุคติภูมิด้วย หมายความว่า เมื่อต้องอาบัติแล้วไม่เห็นโทษ ไม่ปลงอาบัติ ถ้ามรณภาพ (ตาย) ในขณะที่ยังเป็นภิกษุอยู่ ชาติหน้าจะต้องไปเกิดในอบายภูมิเท่านั้น ตามพระพุทธพจน์ที่ว่า "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว นรก บ้าง กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เพื่อภิกษุผู้มีอาบัติ" (ยิ่งถ้าเป็นการดูหนังจำพวกลามกอนาจาร ก็ยิ่งเอื้อต่อการต้องอาบัติหนักได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรโดยประการทั้งปวง) ไม่ควรประมาทเลย เพราะอันตรายอย่างยิ่ง ครับ
ขออนุญาตกล่าวโดยสรุปว่า พฤติกรรมที่กล่าวถึงในคำถาม ไม่ใช่พฤติกรรมของพระภิกษุในพระธรรมวินัย แต่นั่นคือพฤติกรรมของคฤหัสถ์ แม้ว่าจะปฏิญาณตนว่าเป็นภิกษุ ก็ไม่ได้มีคุณเครื่องของความเป็นพระภิกษุเลย เพราะไม่ได้ศึกษาพระธรรม ขัดเกลากิเลส แต่กลับมีความประพฤติเหมือนอย่างคฤหัสถ์ เหมือนไม่ได้บวชเลย ซึ่งมีแต่จะเป็นโทษกับตนเอง เท่านั้น เมื่อลาสิกขาแล้ว ไม่มีอาบัติ แต่ถ้ากลับมาบวชอีกรอบ อาบัติที่เคยมีเมื่อบวชคราวก่อน ก็กลับมาอีกเหมือนเดิม ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
ชาวบ้านไม่รู้จักพระ พระก็ไม่รู้จักพระ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
ภิกษุคือใคร
หนังสือเล่มใหม่ ... ทำไมบวช
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...