ขอความรู้ในเรืองการพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ครับ
สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม
อยากขอความอนุเคราะห์ วิธีหรือความหมายในการพิจารณา สติปัฏฐาน ๔ เป็นเบื้องต้น เพื่อใช้เป็นการเริ่มต้นเดินในทางที่ถูกครับ
ขอบพระคุณมากครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สติปัฏฐาน คือ สติและปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา อันเป็นการเจริญวิปัสสนา สติปัฏฐาน ประกอบด้วยสภาพธรรมอะไรบ้าง
สติปัฏฐาน ก็ไม่พ้นจากความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา และ เจตสิกอื่นๆ อีกมายมาย ดังนั้น ก็ประกอบด้วยสภาพธรรมที่เป็น จิต ที่เป็นใหญ่ในการรู้ และ ประกอบด้วยเจตสิก อย่างน้อย 19 ดวง ที่เป็นโสภณสาธารณะเจตสิก และประกอบด้วย สัพพจิตสาธารณะเจตสิก อีก 7 ดวง และ ปกิณณกเจตสิก และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ปัญญา ที่เป็นอโมหเจตสิก ที่เป็นสภาพธรรมที่รู้เห็นตามความเป็นจริง ครับ
สิ่งที่มีจริงในขณะนี้นั่นเอง ที่จะเป็นที่ตั้งให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และปัญญารู้ตามความเป็นจริง (สติปัฏฐาน) เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จริงๆ ไม่ใช่เรื่องหวัง ไม่ใช่เรื่องต้องการ ไม่ใช่เรื่องของความจดจ้อง ไม่ใช่เรื่องของการไปกระทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเห็นผิด และด้วยความไม่รู้ แต่เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับ
เรื่องเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติเกิดขึ้นระลึก และปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่มีจริงเนืองๆ บ่อยๆ พิจารณาเหตุผลแล้วก็เจริญเหตุ ให้สมควรแก่ผลด้วย
ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ หนทางที่จะเป็นไป เพื่อการรู้ธรรม ตามความเป็นจริง ซึ่งก็มีจริง แต่ต้องเป็นหนทางแห่งปัญญา เพราะฉะนั้น ก็ต้องกลับมาที่ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แม้ว่าจะมีสภาพธรรมที่มีจริง ก็ไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้เลย ย่อมไม่มีเหตุที่สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นได้เลย ครับ ขออนุโมทนา
ดิฉันเได้ฟังซีดีแนวทางเจริญวิปัสนาของท่านอาจารย์สุจินต์ ในเวปไซต์ของมูลนิธิฯ พร้อมการอ่านหนังสือปรมัตถธรรมสังเขปของท่านอาจารย์ แล้วพิจารณาตาม และพอเข้าใจแม้ขั้นการฟังแม้น้อยนิดก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
เป็นที่ชัดแจังว่าต้องเข้าใจปรมัตถธรรม และความหมายของแต่ละคำแล้วจึงจะมีแนวทางที่ถูกต้องในการพิจารณา
กราบแทบเท้าระลึกถึงพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนายิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง ก่อนอื่นเมื่อกล่าวถึงอะไรนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ไม่ใช่ใครไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนแต่อย่างใด แม้แต่สติปัฏฐาน ก็เช่นเดียวกันควรจะได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เป็นการไปทำอะไรที่ผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น
ในเบื้องต้น ควรจะได้เข้าใจว่า "สติปัฏฐาน" เป็นการระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏ เป็นการระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่พ้นจากสติไปได้ สติย่อมมีอย่างแน่นอน โดยไม่มีตัวตนที่ระลึก หรือไปเจาะจงอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ของสติ คือ เป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีในขณะนั้น มีสติซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ระลึก และ มีปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ย่อมเป็นกุศลจิต [ในขณะที่กุศลจิตเกิด ก็สงบจากอกุศล ในขณะนั้น] เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา และมีสติที่เป็นสภาพธรรมที่ระลึกด้วย เพราะสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้นั้นก็เป็นธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันนี้เองที่สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร แต่รู้ยากเพราะสะสมอวิชชา ความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์
ประการที่สำคัญ นั้น ก่อนที่จะไปถึงสติปัฏฐาน ขอให้ฟังให้เข้าใจ ขอให้กลับมาเริ่มต้นใหม่เพื่อจะได้เริ่มสะสมความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่ในขณะนี้ เพราะเหตุว่าพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในสภาพธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อย่างมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นความเข้าใจในความจริงอย่างมั่นคง จึงจะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิด แต่อย่าลืมว่าธรรม เป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ครับ.
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเิติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...