ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน _ สนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒

 
khampan.a
วันที่  24 ก.ค. 2562
หมายเลข  31068
อ่าน  1,996

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น




วันนี้ (วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒) มีการสนทนาธรรม ที่บ้านธัมมะ ลำพูนเป็นวันที่สอง ทั้งเช้าและบ่าย เป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่งที่จะได้สนทนาเพื่อความเข้าใจความเป็นจริงของธรรมตรงตามความเป็นจริง
ในการสนทนานั้น ก็กล่าวถึงประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของการมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดก็ตาม กล่าวคือ จะเป็นเรื่องจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) ก็เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา แต่ไม่เป็นอิสระ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งใครๆ ก็บังคับบัญชาไม่ได้











ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงทุกขณะ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน ถ้าได้ศึกษาพระธรรมแล้วเข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรมในชีวิตจริงๆ ว่า เป็นเพียงธรรมแต่ละหนึ่งๆ ก็จะเริ่มเห็นว่า สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นั้น เป็นความจริงทุกกาลสมัยที่สามารถจะเข้าใจตามความเป็นจริงได้

ดังนั้น ในช่วงเวลาแห่งการสนทนาในครั้งนี้ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงในธรรมแต่ละหนึ่ง อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ก็ได้นำคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาเปิดให้ผู้ร่วมสนทนาได้รับฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่าง แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ที่หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนไม่ได้ จึงขอโอกาสนำคำสนทนาดังกล่าวมาให้ทุกท่านได้อ่านและพิจารณาร่วมกันดังนี้

[เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง แต่ละคนก็รู้ ใช่ไหมว่าทำอะไรบ้าง เห็นหรือเปล่า เมื่อวานนี้ ได้ยินหรือเปล่า รับประทานอาหารมีรสต่างๆ ปรากฏหรือเปล่า กระทบหมอนที่นอนอ่อนแข็ง เย็นร้อน หรือเปล่า แล้วก็คิด เมื่อวานนี้เป็นอย่างนี้ เมื่อวันก่อนก็เหมือนอย่างนี้ วันนี้ก็จะต้องเป็นอย่างนี้อีก เพราะเหตุว่ากำลังเห็น กำลังได้ยิน และกำลังคิดด้วย พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้ แต่ละวันมีใครไม่ให้เกิดขึ้นเป็นไปได้บ้าง เกิดมาแล้วต้องเป็นไป เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่มีเราเลย แต่มีสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นทีละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ว่ามากมายเหลือเกินเมื่อวานนี้ถ้าจะกล่าวถึงทีละหนึ่งขณะ ก็สามารถเข้าใจว่าที่เราบอกว่าเราไปที่ไหนมา เรารับประทานอะไร เราพบใคร เราสุข เราทุกข์อย่างไร นั่น เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องหยาบ เป็นเรื่องยาว แต่ถ้าไม่มีทีละหนึ่งขณะของชีวิต เรื่องต่างๆ เหล่านั้นก็มีไม่ได้ ปรากฏไม่ได้เลย

เป็นผู้ละเอียดก็สามารถจะรู้ว่า ทุกวันก็เป็นอย่างนี้ เมื่อวานนี้เห็น ที่บ้านมีต้นไม้อะไร เหมือนเดิมใช่ไหม พรุ่งนี้ก็อยู่บ้านนั้นแหละ แล้วก็เห็นสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นบ้าน มีต้นไม้ มีดอกไม้ อะไรเหมือนเดิม ซ้ำไปซ้ำมา แต่ต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ เท่านี้เอง ก็ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ละเอียดที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องยาว แต่ละวัน ย่อเป็นตอนเช้าบ้าง ตอนกลางวันบ้าง เป็นตอนเย็นบ้าง ตอนค่ำบ้าง เดี๋ยวดูโทรทัศน์ เดี๋ยวอ่านหนังสือพิมพ์ แต่ทั้งหมดก็ต้องมาจากแต่ละหนึ่งขณะ

การจะเข้าใจทุกอย่างจริงๆ โดยถูกต้อง ไม่ใช่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดยาวๆ แล้วคิดว่าเข้าใจ แต่ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกันเลย ก็จะต้องเป็นความละเอียดที่จะรู้ว่า ได้ฟังเรื่องจริง (วาจาสัจจะ) เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งมีความเข้าใจว่า สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย (เป็นอริยสัจจะ) แต่กว่าจะเข้าใจวาจาสัจจะแล้วก็รู้ว่าเป็นอริยสัจจะ ความจริงของผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐ คือ ผู้รู้ ไม่รู้จะประเสริฐได้อย่างไร เพราะฉะนั้น การที่บุคคลใดก็ตามที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ชื่อว่า ผู้นั้นรู้จริงๆ ในสิ่งนั้นหรือเปล่า จึงสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่มีจริง หนึ่งนั้นคืออะไร แต่ละหนึ่งๆ

ในขณะนี้เหมือนมีคนหลายคนนั่งอยู่ในห้อง ซึ่งมีหลายอย่าง แต่ความจริงต้องเป็นแต่ละหนึ่งเท่านั้นเอง จะเป็นหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้เลย เช่น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มีไหมเดี๋ยวนี้ ปรากฏให้เห็นได้ ใช้คำว่า เห็น ก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย ความจริงของสิ่งนี้ก็คือว่า เมื่อมีตา ภาษาบาลีใช้คำว่า จกฺขุปสาท (จักขุปสาท) ซึ่งเป็นรูปพิเศษ ถ้าไม่มีรูปนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏไม่ได้เลย ไม่ใช่เราอยากจะมี เราไม่อยากจะมี เราเลือกได้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย สิ่งต่างๆ ทุกอย่างเกิดแล้ว โดยไม่รู้เลยว่า เกิดแล้วเพราะอะไร แต่ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้เลย ทุกคนอยากจะมีความสุข แต่ความสุขก็ไม่เกิด อยากเท่าไรก็ไม่เกิด ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้ความสุขเกิด คนตาบอดก็อยากจะเห็น ไม่ใช่ไม่อยากเห็น แต่ว่าอยากเท่าไรก็เห็นไม่ได้ เพราะว่าไม่มีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดขึ้น

ขณะนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมีปรากฏเกิดขึ้นต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น

การศึกษาสิ่งที่มีจริงๆ เพียงแต่ละหนึ่ง แต่ว่าเข้าใจจริงๆ ก็จะทำให้ความรู้ค่อยๆ รู้ทั่วตามความเป็นจริงของทุกสิ่งที่มี เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกคนเห็น มีจริงๆ เพียงหนึ่ง ไม่ใช่คิด ไม่เห็นก็ชอบสิ่งที่เคยเห็น ยังจำได้ เพราะฉะนั้น ความชอบ ต้องไม่ใช่เห็น แต่ชอบสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้กลิ่น เคยลิ้มรส เคยกระทบสัมผัส ถ้าถามทุกคนก็จะตอบได้ว่า ชอบอะไรบ้าง ชอบรับประทานอะไร ปู หรือกุ้ง หรือหมู หรือเนื้อ ถ้าไม่เคยรู้รสนั้นเลย จะตอบได้ไหมว่า ชอบ เพราะฉะนั้น ความละเอียด ก็คือ ชอบ ไม่ใช่เห็น เพราะว่าชอบ ไม่ใช่ชอบแต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ชอบเสียงไหม ก็ได้ ชอบกลิ่นก็ได้

ชอบ เป็นหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าดู ไม่ชอบเลย เสียงที่ไม่เพราะ ไม่ใช่เสียงชม หรือไม่ใช่เสียงที่น่าฟัง จะให้ชอบก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่จะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็หมดไป ไม่ใช่มีแต่ชอบหรือไม่ชอบสิ่งนั้นอยู่ทั้งวันทั้งคืน ก็ต้องมีอย่างอื่นเกิดเพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความละเอียดว่า ถ้าเข้าใจธรรมในชีวิตจริงๆ เพียงแต่ละหนึ่งๆ ก็จะเริ่มเห็นว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ๔๕ พรรษา เป็นความจริงทุกกาลสมัยที่สามารถจะเข้าใจได้]



การที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง มีหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือ ต้องศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ละเอียด รอบคอบ ถ้าคิดว่า จะเข้าใจพระธรรมได้โดยไม่ศึกษา หรือ คิดว่าไปทำอย่างอื่น ไปทำอะไรตามๆ กันตามที่คนหมู่มากกระทำกัน เช่น ไปนั่งนิ่งๆ แล้วปัญญาจะเกิดเอง เป็นต้น ผู้นั้นก็เป็นผู้ประมาทพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงความจริงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ แต่ละคนจึงต้องเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม และมีความจริงใจต่อการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกขัดเกลาละคลายความไม่รู้ที่สะสมมาอย่างมากและยาวนานในสังสารวัฏฏ์ เพราะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ขณะที่มีค่า ขณะที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตก็คือขณะที่ได้เข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อย่างอื่นไม่มีค่าเท่ากับสิ่งนี้เลย ทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายไม่สามารถติดตามไปในภพหน้าได้ แต่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการได้อาศัยพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ เป็นที่พึ่งได้โดยตลอด

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
tim7755tim
วันที่ 25 ก.ค. 2562

ความเข้าใจธรรมเป็นการที่มีจิตที่น้อมเข้าไปด้วยถึงจะมีความเข้าใจ

ในคำสอนนั้นๆ กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารและผู้ร่วมฟังธรรม

ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 25 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Tommy9
วันที่ 25 ก.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
siraya
วันที่ 25 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 25 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สุณี
วันที่ 25 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Selaruck
วันที่ 26 ก.ค. 2562

โชคดีที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ประเสริฐและมีค่าที่สุดในชีวิตที่ได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับครูอาจารย์ผู้รู้แจ้ง ผู้เคารพพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และสามารถถ่ายทอดพระธรรมนั้นต่อเรา

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบคุณและอนุโมทนากับคณะวิทยากรทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Fongchan
วันที่ 26 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
natthayapinthong339
วันที่ 25 ก.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ