ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๗
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งเป็นปัญญาของแต่ละคนที่ได้ฟัง นั่นคือคุณ ที่ไม่สามารถที่จะมีอะไรเปรียบได้เลย จากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์ เริ่มที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละคำ, คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่งลุ่มลึก ตามลำดับ เพราะฉะนั้น การฟัง ต้องเข้าใจ ไตร่ตรอง ทีละคำจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง
~ พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เกิดปัญญา (ความเห็นที่ถูกต้อง) และปัญญาเท่านั้นที่เป็นแสงสว่างนำทางให้ประพฤติปฏิบัติทั้งกาย วาจาที่เป็นธรรมที่ดี
~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศลก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น
~ การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุศล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม
~ ขณะใดที่อกุศลประเภทใดเกิด ให้ทราบว่ามีความไม่รู้อยู่ขณะนั้น เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากแค่ไหน เพราะอกุศลก็มีหลายอย่าง ไม่ใช่มีแต่เฉพาะโลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ) เกิดขึ้น ขณะนั้นก็มีความไม่รู้, ความสำคัญตนเกิดขึ้น ขณะนั้นก็มีความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้จะมากมายสักแค่ไหน
~ มิตรหรือเมตตา หมายความถึงความหวังดีกับบุคคลนั้น พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกโอกาส ไม่คิดร้าย ไม่โกรธเคืองด้วย ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นไม่ได้เป็นมิตรเลย และขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตสะสมไว้บ่อยๆ ต่อให้มีสิ่งที่ดีรอบข้างก็ไม่เป็นสุข เพราะความขุ่นเคืองใจ หรือเป็นเหตุที่มีกำลังถึงกับทำอกุศลกรรมได้ ตามข่าวที่ได้ยินบ่อยๆ ฆ่ากันตาย แค่คำพูดคำเดียวหรือการกระทำเพียงเล็กน้อย เพราะกำลังของกิเลสเป็นปัจจัย
~ ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ จะไม่เดือดร้อน แต่มีความเป็นเพื่อน คือ เข้าใจแล้วเห็นใจว่า จิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย บางคนก็สะสมอกุศลมามาก บางคนก็สะสมกุศลมามาก แล้วเราจะทำอะไรได้ นอกจากรักษาจิตของตนเอง ด้วยการเข้าใจถูกต้องว่า เป็นมิตร ไม่ใช่เป็นศัตรู ไม่ใช่หวังร้าย อะไรดีกว่ากัน? เป็นมิตรดีกว่า เพราะอะไร? เราอยากให้คนอื่นเป็นมิตรกับเราใช่ไหม หรือเราอยากให้คนอื่นหวังร้ายต่อเรา? เราเพียงอยากให้เขาเป็นมิตรกับเรา แล้วทำไมเราไม่อยากเป็นมิตรกับเขา แทนที่จะคอยให้เขามาเป็นมิตรกับเรา เรานั่นเองที่จะเป็นมิตรกับคนอื่น ก็จะไม่เดือดร้อนเลย
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ปัญญา ความเห็นถูกต้อง ทุกข์เกิดเพราะไม่รู้ความจริง แต่ปัญญาเกิดไม่เป็นทุกข์เลย เพราะเข้าใจถูก ว่า ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เกิดแล้วดับไปชั่วคราว แล้วจะไปเดือดร้อนกับอันไหน ดับหมดแล้วไม่เหลือเลย
~ การเกิดเป็นมนุษย์ ประเสริฐกว่า ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะเหตุว่าเป็นผลของกุศลกรรม และถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาที่สะสมมามาก ฟังธรรมก็เข้าใจ แต่ถ้าสะสมมาน้อยก็ค่อยๆ ฟังไป ค่อยๆ สะสมไปจนถึงกาลที่สามารถถึงขณะที่ละการยึดถือ
สภาพธรรมนั้นๆ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมด เพื่อไม่ประมาท เพื่อเข้าใจถูกว่า กิเลสมีมาก และการค่อยๆ เข้าใจธรรม เป็นหนทางที่ดีที่ทำให้สามารถละกิเลสได้ ถ้าใครคิดว่า ละกิเลสได้โดยไม่เข้าใจธรรม
ผู้นั้นเข้าใจผิด
~ ถ้าทำดีแล้ว ปลอดภัยแน่นอน ไม่มีสิ่งที่ทำให้เดือดร้อนใจด้วยประการใดๆ เลยทั้งสิ้น
~ ได้ยินคำว่าธรรมบ่อยๆ แล้วก็รู้ว่าต้องเข้าใจธรรม แต่ว่าธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่เดี๋ยวนี้ตรงนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ที่ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโดยพระสูตรต่างๆ หรือว่าพระโอวาทเวลาที่มีผู้ใดกระทำผิดไม่ควรทำ ทั้งหมด เพื่อเข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังนี้เดี๋ยวนี้
~ ฟังพระธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระวินัย พระสูตรหรือพระอภิธรรม ไม่ใช่เรื่องของจำนวนและไม่ใช่เรื่องราว แต่เพื่อให้ถึงความเข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับผู้ที่ได้เฝ้าและได้ฟังคำของพระองค์ ฉันใด ขณะนี้ ก็กำลังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้กับผู้ที่ไปเฝ้าพระองค์ แต่เราก็ได้เฝ้า เมื่อได้ฟัง เหมือนกันเลย
~ คนที่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ฟังคำของพระองค์ จะเข้าใจธรรมไหม? ก็ไม่เข้าใจ แต่คนที่แม้ไม่เห็น แต่ได้ฟังคำของพระองค์ก็มีความเข้าใจถูกต้องว่าเมื่อฟังพระธรรม ก็คือ ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจสิ่งที่มีซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่กว่าจะไม่ใช่เราและไม่มีเราก็ต้องอาศัยพระธรรม เพราะตลอด ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม ก็ทรงแสดงเพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ เมื่อบวชแล้ว ก็ต้องหมายความว่ารู้ว่าบวชทำไม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ ก็ไม่มีการที่จะศึกษาธรรมแล้ว นั่นหรือคือบวช
~ ทำไมบวช อยู่บ้านมีพี่น้อง มีมิตรสหายชีวิตแสนสำราญสะดวกสบายสำหรับบางคน แต่ว่าถึงแม้ว่าจะทุกข์ยากก็ไม่คิดจะบวช ไม่ใช่บวชแล้วจะหมดทุกข์ไม่ใช่เลย แต่เป็นผู้ที่รู้จักจริงๆ ถึงค่าของพระธรรม แต่ละคำ หาที่ไหนไม่ได้ จากใครก็ไม่ได้ในสากลจักรวาล แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำประเสริฐสำหรับผู้ที่เห็นค่าและมีอัธยาศัยที่จะสละอาคารบ้านเรือนเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ประเสริฐไหม? เริ่มประเสริฐตั้งแต่คิดและเมื่อได้บวชแล้วก็ยังประเสริฐโดยการเข้าใจพระธรรม นั่นคือ ภิกษุในธรรมวินัย ไม่ใช่หมายความว่าใครก็ตามไม่เข้าใจธรรมบวชแล้วเป็นภิกษุ เป็นผู้ประเสริฐ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย
~ คฤหัสถ์บำรุงพระภิกษุทุกประการ ด้วยอาหารบิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นต้นแล้วการที่พระภิกษุได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้จากคฤหัสถ์ภิกษุทำอะไรบ้าง เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์หวังที่จะให้พระภิกษุศึกษาธรรมเข้าใจเพื่อที่จะได้แสดงธรรมนั้นแก่ตนให้เข้าใจ แต่ว่าถ้าพระภิกษุนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมก่อนบวชด้วยแล้วบวชแล้วคิดว่าจะศึกษาธรรมก็ไม่ได้ศึกษา เพราะฉะนั้น พระภิกษุนั้นให้อะไรตามที่คฤหัสถ์ต้องการหรือว่าบำรุงหรือเปล่า? คฤหัสถ์บำรุงพระภิกษุไม่ใช่เพื่อให้ไปทำอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนคฤหัสถ์ แต่เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ไม่สามารถที่จะมีเวลาศึกษาธรรมได้อย่างพระภิกษุ จึงเห็นผู้ที่บวชแล้วก็สละชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตจึงอุปการะอนุเคราะห์ทะนุบำรุงทุกอย่างเพื่อเขาจะได้แสดงพระธรรมให้คฤหัสถ์ได้เข้าใจ (คฤหัสถ์หวังเท่านี้แล้วพระภิกษุให้อย่างนี้หรือเปล่าแก่คฤหัสถ์?)
~ การที่จะเข้าถึงธรรม การที่จะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้ ต้องตรง เพราะว่า ธรรมตรง ผิดคือผิด ไม่ใช่ใครเลยสักคนเดียวแต่เป็นธรรมที่เป็นอกุศลธรรมที่เข้าใจผิดเห็นผิด ถูกก็คือถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราถูกเขาผิด แต่อกุศลเป็นอกุศล และกุศลเป็นกุศล
~ คนที่มีความเข้าใจธรรม ทำกุศลเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะรู้ว่าอกุศลไม่สามารถจะละกิเลสได้ แต่คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย ขณะนั้นก็เป็นเขาที่ทำกุศล แต่ถ้าเป็นธรรม ไม่มีเขา แต่ขณะนั้นกุศลจิตเกิด ทำกิจของกุศลประการต่างๆ เพื่อที่ว่าอกุศลน้อยลงเท่าไหร่ กุศลที่เพิ่มขึ้น ก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมว่าเพื่อละกิเลส จึงทำกุศล แต่ไม่ใช่เพื่อว่าจะให้หมดกิเลสทันทีทันใดไปรีบทำกัน ก็ไม่ได้ นั่นคือ โลภะ เพราะฉะนั้น ความอยาก ความเป็นเราล้ำลึกมากมายมหาศาล ไม่สามารถที่จะไร้ปัญญาแล้วไปละกิเลสได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยมั่นคงขึ้นๆ โดยการที่ว่าเป็นกุศลทีละเล็กทีละน้อยโดยประการต่างๆ ไม่ใช่จำกัดแต่เฉพาะเพียงอย่างเดียว ถ้าขาดการฟังพระธรรม กุศลจะเป็นบารมีที่จะให้ถึงฝั่งคือการที่จะดับกิเลสได้ จะเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้
~ สิ่งหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ที่จะขัดเกลากิเลสไปจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ทุกประการ ก็คือ ต้องไม่ลืมถ้าปราศจากบารมีข้อนี้ ไม่สามารถที่จะถึงได้ คือ ความเป็นผู้ตรง สัจจบารมี
~ กุศลควรเจริญ แต่ทำไมควรเจริญ เพื่อประโยชน์อะไร ไม่ใช่เพื่อเราจะได้รับผลของกุศล (เช่น) ขึ้นสวรรค์ มีทรัพย์สมบัติ มีลาภ มียศ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่รู้ว่าเพื่อขัดเกลากิเลส.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๖
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...