มั่นคงว่าไม่ใช่เรา
กิเลสลึกยิ่งกว่าบาดาล การจะรู้ความเป็นจริงให้พ้นจากบาดาลต้องเป็นผู้ที่มีความ มั่นคงว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ เป็นอนัตตา
ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ฟังพระธรรมบ่อยๆ ชาตินี้มีความเข้าใจจริงๆ มั่นคงว่าเป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงและไม่ใช่เรา เกิดใหม่ สิ่งที่ได้เคยสะสมไว้แล้วในชาตินี้ ได้ยินคำว่าธรรมะ ยังสงสัยไหม เหมือนคนที่ไม่เคยได้ยินมาเลยเขาไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นถ้าทุกชาติได้สะสมความเข้าใจความจริงตั้งแต่ต้นว่าไม่มีเรา ความเข้าใจอย่างนี้ยังเทียบไม่ได้กับการเข้าใจขึ้นๆ โดยฟังพระธรรม เมื่อได้ฟังอีกครั้งหนึ่งก็มากกว่าคนที่ไม่เคยฟัง ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ ยิ่งอบรมปัญญา วันหนึ่งก็จะเหมือนพวกสาวก ไม่ว่าอยู่ในสถานะใด ปัญญาที่ได้อบรมจนมีกำลังสามารถเห็นถูกต้องและรู้ความจริงได้
ฟังหลายครั้งว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ความมั่นคงเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับเมื่อฟังเข้าใจขึ้นๆ ๆ ความมั่นคงก็ต่างกันแล้ว
หนทางเดียวที่จะมั่นคงทุกชาติก็คือฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ แล้วไม่หวังว่าจะรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมเมื่อไหร่ นั่นคือความมั่นคง แค่มั่นคงที่จะไม่หวัง มีหรือยัง หรือฟังไปหวังไปเมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะ นั่นคือไม่มั่นคง
ไม่หมดที่จะหวังแน่ เพราะปัญญาขั้นนี้ไม่พอ บาดาลอยู่ไหน ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนให้รู้ถึงความละเอียดและความจริง ปัญญาแค่นี้ศรัทธายังน้อย แต่ถ้าฟังอีก เข้าใจอีก มั่นคงขึ้น ศรัทธาเพิ่มขึ้น (พระโสดาบันมีศรัทธาที่มั่นคง)
ขั้นปริยัติต้องเป็นผู้ที่มั่นคงก่อน ถ้าไม่มั่นคงไม่มีทางที่จะเป็นปัจจัยให้ปฏิปัติเกิด เพราะทุกอย่างของธรรมะต้องเป็นอนัตตา จะไปทำวิธีไหน จะพากเพียรอย่างไร ไปโน่นมานี่ อยู่คนเดียวก็ไม่ใช่หนทางแน่เพราะขณะนั้นไม่เข้าใจ ไปทำให้ไม่รู้ผลคือไม่รู้ เดี๋ยวนี้สภาพธรรมะกำลังปรากฏให้เข้าใจ แล้วทำไมไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ เป็นอนัตตา แล้วไปทำอะไร ทำทำไมและไม่รู้ด้วยว่าผิด นี่เป็นข้อใหญ่เพราะไม่รู้ จนกว่าจะรู้ว่าอะไรถูก ปัญญาที่รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงก็ละความไม่รู้และความเห็นผิด
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ปัญญาที่ได้อบรมจนมีกำลังสามารถเห็นถูกต้องและรู้ความจริงได้
...อนุโมทนาค่ะ...