การบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีลำดับขั้นเหมือนสาวกหรือไม่
ถ้าเป็นสาวกนั้น การบรรลุธรรมจะต้องเป็นไปตามลำดับขั้น โสดาบัน สกิทา อนาคามี อรหันต์ แต่สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีลำดับขั้นของการบรรลุธรรมเหมือนอย่างสาวกหรือไม่ครับ
พอดีมีเพื่อนชาวพุทธบอกว่าพระพุทธเจ้าบรรลุโสดาบันตอน 7 ขวบ ก็เลยไปเปิดดูพุทธประวัติ ซึ่งในพุทธประวัติก็กล่าวว่าท่านได้ปฐมฌาณเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าท่านเป็นโสดาบันแต่อย่างใด แต่ในวันที่บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตรงนั้นเหมือนพระองค์ท่านจะบรรลุฉับพลันเลย ไม่มีการกล่าวว่าท่านได้ผ่านภูมิพระโสดาก่อนหรือไม่อย่างไร เพียงแต่บอกว่าท่านมีการพิจารณาสายปฏิจจสมุปบาทอย่างละเอียดเท่านั้นก่อนที่จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในคืนวันตรัสรู้ แถมยังระลึกชาติอีกด้วย ผมเลยอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายครับ เพราะบางทีอ่านจากการ์ตูนพุทธประวัติอาจจะไม่ได้รับความละเอียด ถ้าเป็นตำราพระไตรปิฎกโดยตรงก็อาจได้รับความชัดเจนกว่าและไม่คลาดเคลื่อน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะ เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง แม้แต่การจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ต้องเป็นไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น ไม่ว่าใคร บุคคลใด เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีใคร มีแต่ธรรม พระสาวก พระพุทธเจ้า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นจิต เจตสิก ไม่เปลี่ยน ปัญญาไม่เปลี่ยนลักษณะรู้แจ้งตามความเป็นจริง ดังนั้น ผู้ที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็จะต้องละกิเลสไปตามลำดับ ปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงไปตามลำดับ เริ่มจากปัญญาขั้นการฟัง สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ปัญญาขั้นคิดพิจารณาและภาวนามยปัญญา ปัญญาขั้นอบรมเจริญรู้ความจริงของธรรม และ ก็จนถึงวิปัสสนาญาณ ถึงการดับกิเลส บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และถึงความเป็นพระอรหันต์ ข้อความใน ปหาราทสูตร แสดงความจริงว่า การถึงอรหันต์ ไม่ใช่ก้าวกระโดด คือ ไม่ใช่การข้ามไปถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยไม่ผ่านความเป็นพระอริยบุคคลขั้นอื่น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า พระสาวก ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ ก็ปัญญาก็ต้องเป็นไปตามลำดับ เพียงแต่ว่าแล้วแต่บุคคลที่ปัญญาเกิดได้ไว ก็สามารถเกิดปัญญาไปตามลำดับได้อย่างรวดเร็ว จากพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ ด้วยความรวดเร็ว เพราะความรวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับ คือ จิต เจตสิก เพียงลัดนิ้วมือ จิตเกิดดับแสนโกฎิขณะ ครับ
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 402
ข้อความบางตอนจาก
ปหาราทสูตร
ปหาราทอสูรทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน
ดูก่อน ปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับมิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง
ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับมีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรงนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการยาก เพราะกว่าที่พระบารมีจะถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น จะต้องอาศัยความพยายามอย่างมากและเป็นเวลาที่มายาวนาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่นานมาก พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง
ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ทรงตรัสร้สรู้โดยชอบได้โดยพระองค์เอง ถึงความเป็นพระอรหันต์ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ถึงพร้อมด้วยพระปัญญาที่ไม่มีใครเสมอเหมือน แล้วทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ
จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ด้วยการฟัง การศึกษาคำที่พระองค์ตรัสไว้ดดีแล้ว ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)