คนที่ไปปฏิบัติกัน
ผมได้อ่านกระทู้ที่เขียนตอบมาแล้ว แต่ทำไมคนที่เขาไปกันเขาบอกว่าดี มีความสุขมาก ขณะนั่ง บางคนบอกว่านั่งแล้ว เหมือนตัวลอยได้ กลับบ้านแล้ว ใจเย็นลง ไม่โกรธง่ายหมือนเดิม ไม่รู้จริงๆ เป็นอย่างไร ใครเคยลองบ้าง ช่วยเล่าให้ฟังบ้างครับ
ต้องพิจารณาครับว่า ที่เขาบอกกันว่าดีนั้น ดีอย่างไร? การนั่งแล้วเหมือนลอยได้นั้น ทำให้เข้าใจธัมมะมากขึ้นแค่ไหน? แล้วที่บอกว่ากลับมาที่บ้านแล้วใจเย็นลงนั้น..เขาสามารถ เป็นผู้ที่ใจเย็นได้ตลอดไปหรือไม่? หรือเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ก็จะกลับมาเป็นคนเดิมอีก
ธัมมะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งครับ ไม่ใช่เพียงไปทำ ไปปฏิบัติ แล้วจะทำให้หลุดพ้นจากทุกสิ่งเหมือนกับเวลาที่จะเรียนหนังสือ หากเริ่มที่การเรียนไม่เข้าใจแล้ว จะนำความรู้ที่เรียน ไปใช้ได้อย่างไร? ลองหมั่นถามตัวเองบ่อยๆ ครับ ใช้ความมีเหตุมีผลในการตัดสิน อย่าใช้เพียงความรู้สึก หรือความเห็นส่วนตัวหรือเพียงฟังเขามา เขาว่าดี ก็ดีตามเขา ขอให้มั่นคงในสิ่งที่ถูกครับ เชื่อมั่นในความถูกต้องว่าสิ่งที่ถูกก็ย่อมเป็นสิ่งที่ถูก และสิ่งที่ผิดนั้น ไม่มีวันเป็นสิ่งที่ถูกได้ ศึกษาธัมมะในเวปนี้แหละครับ เป็นทางที่ถูกต้อง และตรงที่สุดแล้ว ไม่มีทางลัดทางเร็ว อย่างที่เขาพูดกันหรอกครับ ขอให้มั่นคง ต่อความถูกต้องแล้วจะตอบตัวเองได้ครับว่า จำเป็นต้องไปปฏิบัติ (แบบนั้น) หรือเปล่า เจริญในธรรมครับ
คนที่ไปนั่งแล้วใจเย็นลง แต่ไม่มีปัญญา เพราะทำด้วยความไม่รู้ เพียงเพื่อต้องการให้สบายกายสบายใจเท่านั้น กับคนที่ไม่ไปนั่ง แต่อบรมปัญญา ด้วยการฟัง แนวทางเจริญวิปัสสนา จนวันหนึ่งปัญญาคมกล้า สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ตั้งแต่พระโสดาบัน ดับความเห็นผิด พระสกทคามี กิเลสบางลงกว่าพระโสดาบัน พระอนาคามี ดับความโกรธได้เป็นสมุจเฉท คือไม่โกรธอีกเลย พระอรหันต์ ดับกิเลสหมดเลยทั้งโลภะ โทสะ โมหะ
เบื้องต้น สำหรับผู้ที่สนใจการปฏิบัติธรรม ควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจก่อนและศึกษาวัตถุประสงค์ ของการปฏิบัติในแต่ละขั้นๆ ให้เข้าใจว่าปฏิบัติเพื่ออะไร และควรจะได้อะไรเป็นผลของการปฏิบัติที่ถูกต้อง เพราะถ้าไม่ศึกษาก่อน อาจถูกหลอกได้ ไม่โดนคนอื่นหลอกก็อาจโดนจิตตัวเองหลอกได้ เมื่อศึกษาธรรมแล้ว จะรู้ว่ากิเลสหรืออกุศลนั้น สามารถสอดแทรกเข้ามาในจิตได้ทุกสถานที่ และทุกเวลาที่ขาดสติ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม หรืองานฆ่ากิเลสนั้นก็ไม่ควรมีข้อจำกัด ในเรื่องของเวลาและสถานที่
สมัยนี้ไม่ชอบการศึกษาค่ะ ชอบไปทำ ไปปฏิบัติ
ดิฉันเอง แต่ก่อนด้วยโลภะ ก็อยากให้ลัดๆ เร็วๆ พอเจอยากๆ โทสะก็ไม่ชอบอีก จนมาตอนนี้ ค่อยๆ ศึกษาไปช้าๆ ทีละเรื่อง จนเริ่มมีความเข้าใจขึ้นมากบ้าง จากที่เข้าใจผิด ก็เข้าใจถูก คนทั่วไป สมัยนี้ไม่ชอบการศึกษาค่ะ ชอบไปทำ ไปปฏิบัติ ดิฉันเองแต่ก่อน ก็รังเกียจการศึกษาพระธรรม คิดกับคนที่เค้าศึกษาพระธรรมว่า พวกนี้ เอาแต่อ่าน เอาแต่ฟัง แต่จริงๆ แล้ว ดิฉันเองต่างหากที่พลาดไปหลายปี ดิฉันไปสนใจคำสอน ที่ให้ปฏิบัติเองรู้เอง หรือไม่ก็นั่งสมาธิแล้วจะเกิดปัญญารู้แจ้ง หรือให้ทิ้งตำรา แล้วลงมือปฏิบัติ คำพูดดูสวยหรูจูงใจ ทำให้หลงไปหลายปีเลยค่ะ ตอนนี้ มาพบแนวทางแล้ว ถือเป็นลาภอันประเสริฐที่สุดในชีวิตค่ะ และถ้ามีโอกาสและมีคนสนใจ ก็จะพยายามบอกเค้า อย่างเช่นแม่ดิฉัน ตอนนี้ก็เปลี่ยนใจจากที่เคยไปนั่งกรรมฐาน แก้กรรม มาฟัง อาจารย์สุจินต์ทุกวันแล้วค่ะ จาก..ธรรมะทัศนะ