นิพพานไม่สูญ? ?

 
Klawpume
วันที่  4 ต.ค. 2562
หมายเลข  31212
อ่าน  2,419

ผมสงสัยจากที่ พระอาจารย์หลายท่าน ทั้ง หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงตามหาบัว ฯลฯได้กล่าวว่านิพพานไม่สูญ มีทั้งการพบเห็นพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วทั้งหลายด้วย จึงอยากจะเรียนถามท่านทั้งหลายด้วยเหตุนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 ต.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม ที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก มี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถ้าพระผู้มีพระภาค ฯ ไม่ได้ทรงประจักษ์ลักษณะของนิพพาน ก็ทรงดับกิเลสไม่ได้ ขณะนี้ทุกคนมีจิต มีเจตสิก และมีรูป เมื่ออบรมเจริญปัญญาก็จะเห็นความเหนียวแน่นของกิเลส เพราะแม้ว่า สภาพธรรมที่มิใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงนามธรรม หรือรูปธรรม จะปรากฏเมื่อสติระลึกสังเกต พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ จากชาติหนึ่งสู่อีกชาติหนึ่ง สู่อีกชาติหนึ่งก็ยังดับกิเลสไม่ได้ จนกว่าปัญญาจะอบรมเจริญคมกล้า ถึงขั้นประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ที่เป็น วิสังขารธรรม
พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดขึ้น นอกจากพระนิพพานแล้ว ไม่มีสภาพธรรมใดดับกิเลสได้เลย เพราะสิ่งใดที่เกิดขึ้นปรากฏสิ่งนั้นเป็นที่พอใจของโลภะความต้องการได้ทั้งนั้น เมื่อนิพพานเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่เกิดขึ้น โลภะจึงยินดีพอใจในนิพพานไม่ได้ โลภะ ความยินดีพอใจมีอยู่ตราบใด ก็เป็นปัจจัย เป็นสมุทัย คือ เหตุที่จะให้มีภพชาติอยู่ตราบนั้น พระนิพพานเป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริงและเป็นสภาพธรรมอย่างเดียวที่ดับกิเลสได้

ฉะนั้น ถ้าพูดว่านิพพานเป็นเมืองแก้ว นิพพานก็จะต้องเกิดขึ้นจึงจะเป็นเมืองแก้วได้ แต่นิพพานธาตุ เป็นอสังขตธาตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดดั นิพพานเป็นธาตุที่ดับกิเลส สภาพธรรมใดที่เกิดขึ้นจะพ้นไปจากจิต เจตสิก รูปไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งนั้นไม่ใช่นิพพาน ต้องเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง

ข้อความในพาหิยะสูตร ขุททกนิกายอุทาน

ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใด พราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้วด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูป และอรูป จากสุขและทุกข์

จบพาหิยสูตรที่ ๑๐

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 5 ต.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๙๑

พระศาสดา ได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า วัยของเราแก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย เราจักละพวกเธอไป เราทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไม่ประมาทมีสติ มีศีลด้วยดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นด้วยดี จงตามรักษาจิตของตนเถิด ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสังสาระ แล้วการทำที่สุดทุกข์ได้

สิ่งสำคัญที่ควรจะได้พิจารณาคือ ไม่ว่าใครจะกล่าวอย่างไร ก็ตาม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าอย่างไร เมื่อเคารพนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องฟังต้องศึกษาคำของพระองค์ด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย สิ่งใด ที่ผิด ไม่ตรง ก็ต้องรีบทิ้งทันที

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนถึงพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีใครจะพบเห็นได้อีก เพราะฉะนั้น ถ้าได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะรู้ได้เลยว่า คำไหนจริง คำไหนไม่จริง ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Klawpume
วันที่ 6 ต.ค. 2562

ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ