หลงสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์ หลงทุกข์ในสิ่งที่ไม่มี

 
nattawan
วันที่  11 ต.ค. 2562
หมายเลข  31226
อ่าน  1,084

ภัยในสังสารวัฏฏ์ที่พอจะเห็นตามลำดับขั้น ขั้นแรกคือทุกข์ (ทุกขทุกข์) คือ เจ็บ ปวด เมื่อย ทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่มีใครชอบทุกขเวทนา ความรู้สึกที่ไม่เป็นสุขทางกายและใจ แล้วสุขเวทนาล่ะต้องเห็นภัยไหม!!! ... หรือปล่อยไปไม่ต้องเห็นภัย แม้สุขเวทนาก็เป็นภัยเห็นยากกว่าทุกขเวทนา ต้องเป็นปัญญาที่เพิ่มขึ้น ... ต้องละเอียดขึ้น

ทุกคนเกิดมามีความไม่รู้และพอใจในสิ่งที่ปรากฏ คิดถึงสิ่งที่พอใจทั้งวันทั้งคืนจะเป็นสุขไหม!!!

ถ้าได้สิ่งนั้นมาตามที่ขวนขวายแสวงหายากลำบากเหลือเกินไม่ว่าจะทางกายทางใจ ... แต่ก็มีความสุขที่ได้แล้วก็เบื่อ ... แล้วหาอีก ... สุขใหม่ เที่ยวแสวงหาสิ่งที่เป็นสุขไปตลอดชีวิตโดยที่ไม่ใช่เราเลยแต่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมซึ่งทุกคนสะสมความไม่รู้และติดข้องในทุกอย่างที่ปรากฏ เป็นอย่างนี้ชาติแล้วชาติเล่า แล้วสิ่งที่พอใจก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งว่าได้สิ่งนี้แล้วพอใจแล้วไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป ... ไม่เป็นเช่นนั้น ความพอใจนั้นมากมายมหาศาลและไม่หยุดด้วย เป็นอย่างนี้และต้องเป็นอย่างนี้เพราะไม่รู้ ... เป็นทุกข์ไหม!!!!!

กว่าจะเห็นทุกข์นี้ซึ่งเกิดจากความสุข ก็เห็นทุกข์ที่เกิดจากความทุกข์ก่อนว่าเกิดมาก็ยากลำบาก ทุกข์ทรมานสารพัด แล้วสุขล่ะ ... พอได้มาก็สุขดีใจ ... ลืมทุกข์เลย ไม่คิดเลยว่าทำไมถึงทน ทำไมต้องทนเป็นทุกข์ถึงอย่างนี้ แต่หนีไม่ได้ พ้นไม่ได้ นี่คือสังสารวัฏฏ์ต้องเป็นไป

ปัญญาจึงเห็นโทษของสังสารวัฏฏ์ตามลำดับ คือ เห็นทุกข์ตามลำดับ เห็นทุกข์ของทุกขทุกข์ คือ เจ็บกายและใจเป็นทุกข์ไปด้วยจากการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เห็นแต่อย่างนี้ แต่พอสุขก็ลืมหมดเลยแล้วยังต้องการอีกๆ ๆ ไม่รู้จบ จบเมื่อไหร่เมื่อนั้นสบายไหม ไม่ต้องคิดจะได้แล้วๆ เล่าๆ ได้มาแล้วก็ไม่มีทางที่จะไม่เบื่อแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่พอใจมากเท่าไหร่ก็ตาม สิ่งอื่นปรากฏติดข้องแล้ว สิ่งอื่นปรากฏติดข้องอีก ลืมทุกข์ที่ต้องไปแสวงหา จะเห็นทุกข์ที่เป็นความรู้สึกที่เป็นสุขก็ด้วยปัญญา

เริ่มหน่ายหรือยัง ถ้ายังก็ยังไม่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ตราบใดที่ไม่รู้ต้องเป็นอย่างนี้ ... เป็นทาสของโลภะความต้องการซึ่งทำให้มีทุกข์ในการแสวงหา แต่พอได้มาก็ลืมแล้วก็เป็นสุข แล้วสุขนั้นก็ดับไม่กลับมาอีกเลย

ลองคิดดูว่าได้อะไรมา ได้สิ่งที่ว่างเปล่าไม่เหลือเลย แต่เพราะไม่รู้จึงคิดว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่ ยังคงอยู่ จึงแสวงหาร่ำไปเรื่อยไปไม่จบ

ปัญญาเห็นภัยหรือยัง ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่เริ่มเห็นภัยว่ามัวแต่อยากได้สุขอยู่นั่นแหละ แสวงหาอยู่นั่นแหละ แต่สุขนั้นก็หมด ทันทีที่เกิดดับเลย หลงชอบคิดว่ายังอยู่ เริ่มเห็นทุกข์ในความสุข ก็ยังไม่พอ ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดๆ ก็ตามที่เข้าใจว่ามีและเที่ยงและเป็นของเรา สิ่งนั้นหามีไม่ พอใจในสิ่งที่เกิดดับเพราะไม่รู้ ต่อเมื่อใดประจักษ์การเกิดดับ เมื่อนั้นจึงเห็นภัย

ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ มั่นคงขึ้นๆ กว่าจะละความเป็นเราได้ เพราะความเป็นเราลึกมากและทับถมอยู่ทุกวัน ต้องเป็นผู้ที่อดทนที่จะรู้ว่าเหตุใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงพ้นจากกิเลส ... เพราะปัญญาที่รู้ความจริง

กิจที่ควรทำก่อนคือฟังธรรมะให้เข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ลึกซึ้งมากเพราะแม้สิ่งนั้นมีตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่เคยรู้ ต้องรู้เสมอว่าความรู้ที่มีเริ่มจากเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่พอ

พูดอย่างไรต้องทำอย่างนั้น ธรรมะทั้งหลายคือแต่ละหนึ่งที่มีคือธรรมะทั้งหลาย จะเว้นอะไรที่จะไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ได้ แล้วเข้าใจหมดหรือยังธรรมะทั้งหลาย ต้องเข้าใจขึ้น ละเอียดขึ้นและตรงขึ้น ทุกคำต้องเข้าใจจริงๆ เพื่อไม่มีเราสำคัญที่สุด

ถ้ายังมีเราก็ยังมีความยินดีเห็นผิดว่าเป็นเราแล้วจะละกิเลสได้อย่างไร ขณะนี้แม้เป็นธรรมะก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น ทำกิจที่ควรทำก่อน " ธรรมะทั้งหลายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอนัตตา " ไม่ลืมว่าฟังธรรมะเพื่อวันหนึ่งจะประจักษ์แจ้งความจริงว่าไม่มีเราจริงๆ

กราบบูชาคุณท่านอ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 12 ต.ค. 2562

อนุโมทนาในกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 8 ส.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ