ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำขวัญประจำจังหวัดตรัง
เมืองพระยารัษฎา ชาวประชาใจกว้าง หมูย่างรสเลิศ ถิ่นกำเนิดยางพารา
เด่นสง่าดอกศรีตรัง ปะการังใต้ทะเล เสน่ห์หาดทรายงาม น้ำตกสวยตระการตา
วันนี้วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ มีสนทนาธรรมที่โรงแรม
ธรรมรินทร์ ธนา จ.ตรัง เป็นวันสุดท้าย ในช่วงเช้า (ส่วนภาคบ่ายอาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ได้เมตตาสนทนาธรรมเกื้อกูลสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ภาคใต้ ต่ออีก)
สำหรับการสนทนาในเช้านี้ ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงธรรม ๔ ประการที่เป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ตามข้อความในโสตาปัตติยังคสูตร ว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ หน้าที่ ๓๘๓
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย โสตาปัตติยังคะ (องค์แห่งธรรมที่เป็นไปเพื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน) ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ การคบสัตบุรุษ ๑ การฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑ การทำไว้ในใจโดยแยบคาย ๑ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
จะเห็นได้จริงๆ ว่า ขาดธรรม ๔ ประการ ไม่ได้เลยที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาจนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น ได้แก่ คบสัตบุรุษซึ่งเป็นบุคคลผู้มีปัญญา ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้มีโอกาสฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ใส่ใจพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังอย่างถูกต้องแยบคาย และเมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็สามารถเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ ว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ทั้งหมดแห่งพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด แต่ละคำๆ มีค่ามหาศาล ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลากิเลส มีความไม่รู้ และความเห็นผิด เป็นต้น ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้น ล้วนแล้วได้ดำเนินตามหนทางนี้มา แล้วทั้งนั้น เป็นหนทางเดียวจริงๆ ทางอื่นไม่มี เพราะทางอื่นนอกจากนี้ เป็นทางแห่งความเห็นผิด เป็นทางแห่งความไม่รู้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้น ของกุศลธรรมและปัญญาเลยแม้แต่น้อย
ต่อจากนั้นยังได้สนทนาถึงเรื่องของขันธ์ ๕ ด้วย ซึ่งไม่ใช่เพียงชื่อ แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
ขันธ์ ๕ มีในขณะนี้จริงๆ ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะไม่พ้นจากขันธ์ ๕ เลย ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนอย่างสิ้นเชิง ที่จะเป็นประโยชน์แล้ว ความเข้าใจมาก่อน ชื่อมาทีหลัง เพราะจริงๆ แล้ว ขันธ์ ๕ มีจริงๆ และมีจริงในชีวิตประจําวันในขณะนี้ด้วย ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ไม่ว่าจะกล่าวถึงสภาพธรรมใด ก็ไม่พ้นจากขันธ์เลย ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ล้วนมีจริงๆ เกิดแล้วดับไป เป็นขันธ์ทั้งหมด
ขันธ์ ๕ โดยประเภท ได้แก่ รูปขันธ์ (รูปทั้งหมด) ๑ เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) ๑ สัญญาขันธ์ (ความจํา) ๑ สังขารขันธ์ (เจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ๕๐ ประเภท มี ผัสสะ เป็นต้น) ๑ วิญญาณขันธ์ (จิตทุกประเภท) ๑ ไม่ใช่ให้จําในจํานวน แต่ให้เริ่มเข้าใจว่ามีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งหมด เป็นขันธ์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่ได้ยั่งยืนเลย ยกตัวอย่างเช่น ในขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วปรากฏ เมื่อมีสภาพรู้กําลังเห็นสิ่งนั้น จึงปรากฏว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่กําลังปรากฏทางตา ต้องเกิดแน่นอนเพราะปรากฏว่ามีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และ เห็น มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงประมวลได้ว่า ในขณะที่เห็น มีอะไรบ้างที่เป็นขันธ์ กล่าวคือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปขันธ์ และ เห็น ก็เป็นขันธ์ คือ เป็นวิญญาณขันธ์ และในขณะที่เห็นเกิดขึ้น ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ได้แก่ สัญญาเจตสิก เป็นสัญญาขันธ์ เวทนาเจตสิก เป็นเวทนาขันธ์ เจตสิกอีก ๕ ที่เกิดร่วมกับจิตเห็น คือ ผัสสะ (สภาพที่กระทบอารมณ์) เจตนา (สภาพที่จงใจขวนขวายให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมกันทํากิจหน้าที่) เอกัคคตา (สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์) ชีวิตินทรีย์ (สภาพที่เกิดขึ้นทําให้จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยดํารงอยู่จนกว่าจะดับไป) และ มนสิการะ (สภาพที่ใส่ใจในอารมณ์) ก็เป็นสังขารขันธ์ ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดขี้นแล้วก็ดับไป นี้คือ ยกตัวอย่างให้เข้าใจถึงความเป็นขันธ์ ขณะนี้เป็นอย่างนี้ไม่พ้นจากขันธ์เลย จึงต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกยิ่งขึ้นต่อไป ตราบใดที่ยังเห็นประโยชน์ ฟังต่อไป ศึกษาต่อไป ไม่ขาดการฟังการศึกษา ความเข้าใจถูก ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น มั่นคงขึ้น
ซึ่งอาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ได้กล่าวโดยสรุปว่าที่ได้ฟังเรื่องขันธ์ ก็เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อขัดเกลาละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล เพราะขันธ์ ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น
และอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ คำถามที่ว่าขณะนี้พระพุทธศาสนาวิกฤตระดับไหนแล้ว ซึ่งผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม ก็พอจะพิจารณาได้ว่าวิกฤตอย่างยิ่ง มองไปทางไหน ก็มีแต่ความเสื่อมอย่างหนัก ไม่รู้ว่าวัดคืออะไร ไม่รู้ว่าพระภิกษุคือใคร ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร เป็นต้น ทำในสิ่งที่ผิดๆ มากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ หนทางเดียวที่จะค่อยๆ บรรเทาความวิกฤตได้ คือ พร้อมเพรียงกันศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ เคารพอย่างยิ่งในคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อเข้าใจแล้ว ก็กล้าที่กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นจะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องต่อไป
เพราะฉะนั้นแล้ว ในแต่ละชาติที่ได้เกิดมาแล้ว ที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ คือ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน วัยไหน ก็ควรอย่างยิ่งที่จะได้เห็นประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ด้วยความอดทนและจริงใจ ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
เพราะพระธรรมแต่ละคำที่แต่ละคนได้ยินได้ฟังนี้มาจากการบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานของผู้ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ คือ พระมหากรุณาคุณตั้งแต่ครั้งทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งมีค่ามากอย่างยิ่งที่จะทำผู้ฟังผู้ศึกษาได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง
เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ...