ดีไหมถ้ามีใครมาบอกว่าเราไม่ดี [สนทนาธรรมที่บ้าน พลตรีเสริม ภู่หิรัญ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรม
ที่บ้านพลตรีเสริม ภู่หิรัญ
วันอังคารที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒
~ จะทำกุศลมากสักเท่าไหร่ ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งสำหรับแต่ละชีวิตที่เกิดมา เพราะเหตุว่า เราต้องจากโลกนี้แน่นอน ทำความดีมาแล้วก็จริง แต่ว่าความไม่ดีของเรามีบ้างไหม ได้ยินแต่ว่า คนนั้นทำดี คนนี้ทำดี มีใครบ้างที่จะบอกว่า คนนี้ไม่ดีตรงไหน เพื่อเขาจะได้แก้ไขแล้วทำให้ดีขึ้น แทนที่จะปล่อยให้ความไม่ดีนั้นมีเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือว่า ทุกคนพอใจที่จะเห็นคนทำดี อนุโมทนายินดีด้วย แต่ถ้าใครทำไม่ดี ไม่มีใครอนุโมทนาไม่มีใครยินดีด้วยเลย แต่ไม่ให้ทำไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเขาไม่รู้จึงทำ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีกับทุกชีวิตที่เกิดมาแล้ว ก็คือ ความไม่รู้ บางคนก็เรียนจบปริญญาเอกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง แต่ว่ามีใครบอกบ้างไหมว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งตลอดชีวิตนี้ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าไม่ดีตรงไหน ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า ประโยชน์สูงสุด ก็คือ มีผู้ให้เรารู้ว่าอะไรที่ไม่ดี เพื่อที่สิ่งที่ไม่ดีจะค่อยๆ หมดไป
~ แต่ละคน ก็ไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะดี ชั่ว ก็หลากหลายต่างกันมาก ทั้งหมดไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้และทรงอนุเคราะห์คนอื่นให้สามารถเห็นถูกเข้าใจถูกตามความเป็นจริง เพื่อแก้ไข หมายความว่า สิ่งที่ไม่ดี ก็จะได้ลดน้อยลงแล้วสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็จะได้เพิ่มขึ้น
~ ค่า ของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ใครมีโอกาสได้ฟัง ลองไตร่ตรองดู ว่า มากแค่ไหน
~ ถ้าไม่มีการสะสมมาที่จะเห็นคุณค่า ไม่มีใครฟังพระธรรม
~ ถ้าไม่รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร จะไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ใครนอบน้อมคนเลวบ้าง? คนชั่วคนทุจริต ไม่มีใครนอบน้อมคนนั้นเลย แต่นอบน้อมผู้ที่มีคุณความดี เพราะฉะนั้น เพราะรู้ว่า ผู้ที่มีความดีสูงสุดไม่มีใครเสมอ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรอย่างยิ่งที่จะนอบน้อม
~ ไม่ว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร เป็นคนงาน เป็นข้าราชการ เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นนักวิชาการ เป็นสารพัดเป็น ที่เข้าใจว่าเก่งแล้วก็มีคนนอบน้อม แต่ว่า ถ้าคนนั้น ไม่ได้เป็นคนดี เก่งเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครนอบน้อม
~ ต้องจริงใจ ที่ว่านอบน้อมนั้น ต้องนอบน้อมต่อคุณความดี โดยเฉพาะต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็นอบน้อมต่อพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น
~ พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ในสมัยครั้งพุทธกาล ก็ได้ยินได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้อย่างนั้นก็นอบน้อมอย่างยิ่งต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดามาเฝ้าทูลถามปัญหา นอบน้อมอย่างยิ่ง พรหมก็มาเฝ้าทูลถามปัญหา นอบน้อมอย่างยิ่ง แล้วเราเป็นใคร ถ้าไม่มีโอกาสจะได้ฟังพระธรรมจะนอบน้อมอย่างนั้นไม่ได้เลย แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้วไม่มีใครอีกที่ควรนอบน้อมอย่างยิ่งเท่ากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดับกิเลสทั้งหมด ทรงจำแนกธรรมโดยละเอียดอย่างยิ่ง ให้ความเข้าใจค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ มีความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจมากมายมหาศาลในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ก่อนมี ไม่มี ก่อนเห็น ไม่มีเห็น พอเห็นมีเกิดขึ้นแล้วเห็นก็หมดไป ไหนเห็นเมื่อกี้นี้? ไม่เหลือเลยสักขณะเดียว อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่ยั่งยืน เพราะฉะนั้น ควรเห็นว่าเป็นสิ่งที่เราควรพอใจไหม?
~ ตอนตาย จากทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติเงินทองมิตรสหายเพื่อนฝูง จากความเป็นบุคคลนี้ คือ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย แล้วมีปัจจัยคือกรรมที่ได้ทำไว้ยังไม่หมดเลย เป็นปัจจัยให้เกิดต่อทันที เพราะฉะนั้น ตายแล้ว จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดทันที โดยกรรมหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าชาติต่อไปต่อจากความตายของชาตินี้แล้ว จะเป็นอะไร
~ ทรัพย์สินเงินทอง ก็ยังหมดไปได้ แต่ความเข้าใจที่เกิดแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะเอาออกไปจากจิตได้ เพราะว่า เก็บในที่ที่ปลอดภัยที่สุด ฝนไม่สามารถทำให้เปียกได้ แดดส่องไม่ได้ ลมแตะต้องไม่ได้ เพราะว่าจิตเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้
~ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของความดี คือ ความถูกต้อง ก็จะแก้ไขสิ่งที่ผิดและสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้เป็นประโยชน์ขึ้น โดยที่ว่าตลอดชีวิต ถ้าเราได้ทำสิ่งนี้ จะดีไหม? จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งไหม? เพราะฉะนั้น ต้องรู้จริงๆ ว่า พรุ่งนี้ อาจจะตายก็ได้ เย็นนี้ ก็ได้ เดี๋ยวนี้ ก็ได้ แล้วจะมีชีวิตเหลือพอไหมที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมเพื่อที่จะแก้ไขตัวเอง เพราะว่าเราแก้เองไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องที่จะค่อยๆ ลดความไม่รู้และความเห็นผิดซึ่งเป็นรากเหง้าที่จะทำให้ทุจริตต่างๆ และความไม่ดีต่างๆ เกิดขึ้น
~ ธรรมเทศนา ก็คือ การประกาศเปิดเผยชี้แจงให้เข้าใจถูกต้องในธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมเทศนา ไม่ใช่กล่าวเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องการเกษตรไปช่วยชาวนาทำอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะถ้าเป็นธรรมเทศนา ก็คือ ประกาศชี้แจงกล่าวถึงธรรม
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นวาจาสัจจะ (คำจริงที่แสดงให้เข้าใจความจริง) เปลี่ยนไม่ได้ เพราะตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงที่ได้ตรัสรู้ได้เลย เพราะฉะนั้น ความเปลี่ยนแปลงมีบ้าง (หลังจากที่ได้เริ่มฟังพระธรรมแล้ว) ที่จะเป็นผู้ที่มั่นคงที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนาให้ถูกต้อง ถูกคือถูกผิดคือผิด มิฉะนั้น ก็จะรักษาคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาให้เราได้ฟังและได้เข้าใจขึ้น ได้อย่างไร
~ บอกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็คือว่า เป็นชาวพุทธไม่ได้ เพราะชาวพุทธ คือ ผู้รู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ได้ทรงแสดง ไม่ใช่เราไปรู้เองคิดเอง
~ [จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาได้อย่างไร? ] มีทางเดียว คือ ให้คนเข้าใจธรรมถูกต้อง โดยการพูดความจริงทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นการรักษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปคิดกันเอาเองแล้วก็ทำสิ่งที่ทำลายพระพุทธศาสนาโดยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องทราบว่า ความไม่ดีทั้งหมด (เกิด) เพราะไม่รู้ ถ้ารู้แล้วเป็นปัญญาที่มีความเห็นที่ถูกต้อง ว่า อะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ปัญญาจะนำไปในกิจที่เป็นประโยชน์และถูกต้องทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกิจอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็เข้าใจผิด ทำผิดๆ เช่น สำนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ตรง ถ้าทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยให้คนไปทำ แต่ไม่มีความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นการช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ส่งเสริม.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ...
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และกราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจพระธรรมค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตและท่านวิทยากรทุกท่านครับ