ถ้าต้องมีสำนักปฏิบัติแล้ว ทำไมปัญญาถึงช่างโง่นัก
ข้อความจาก "แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ ๕๑๗
(ถอดเทปจากรายการแนวทางเจริญวิปัสสนา โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง และคณะฯ)
อ.สุจินต์ ท่านผู้ฟังสงสัยว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จะมีความต่างกันระหว่างเพศบรรพชิตกับฆราวาสบ้างหรือไม่ เพราะถ้าการบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุเกื้อกูลแก่การเจริญสติปัฏฐานแล้วละก็ สำนักปฏิบัติต่างๆ ก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่การเจริญสติปัฏฐานด้วย ถามว่าอย่างนี้
สำหรับการเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวันของเพศฆราวาสกับเพศบรรพชิตนั้นต่างกัน เพราะว่าผู้ที่เป็นบรรพชิตประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย แต่ฆราวาสไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย แต่ว่าทั้งบรรพชิตและฆราวาสจะต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ตามที่ได้สะสมมา
บรรพชิตที่เป็นพระภิกษุ ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ เพราะว่าเป็นชีวิตจริงของท่าน ชีวิตจริงของท่านไม่ใช่ฆราวาส ท่านมีศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ พระวินัยบัญญัติจึงเป็นชีวิตปกติประจำวันของท่าน
เมื่อพระภิกษุท่านอบรมเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติ ตามชีวิตตามความเป็นจริงของท่านในเพศบรรพชิตแล้ว ทำไมต้องมีสำนักปฏิบัติ ในเมื่อชีวิตจริงของท่าน คือ การประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ เป็นสิ่งที่สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏกับท่านตามความเป็นจริง
เวลาที่ท่านบิณฑบาต เป็นชีวิตปกติประจำวัน เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ตัวตน สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ตามปกติในชีวิตประจำวันของท่าน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมีสำนักปฏิบัติ ชีวิตจริงของบุคคลใดเป็นอย่างใด สติระลึกรู้ เพื่อปัญญาจะได้รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
ถ้าจะคิดอีกอย่างหนึ่ง ก็ เป็นการที่น่าจะพิจารณาเหลือเกินว่า ถ้าต้องมีสำนักปฏิบัติแล้ว ทำไมปัญญาถึงช่างโง่นัก แทนที่จะฉลาด ที่จะแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ได้ ปัญญากลับไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถ้าเข้าใจผิดว่าจะต้องมีสำนักปฏิบัติ ถ้าเป็นปัญญาแล้วทำไมไม่รู้ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ (คลิกที่นี่ ... สำนักปฏิบัติ เป็นสำนักที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ในทุกขอริยสัจจะ ในขันธ์ ๕ ในรูปขันธ์ที่กำลังมีกำลังปรากฏ ในเวทนาขันธ์ที่กำลังมีกำลังปรากฏ ในสัญญาขันธ์ ในสังขารขันธ์ ในวิญญาณขันธ์ ในนามธรรม ในรูปธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏ ซึ่งไม่ใช่ตัวตน กำลังเกิดดับ ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ปัญญาย่อมรู้ได้
สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นของจริง ซึ่งผู้ที่รู้แจ้ง ประจักษ์การเกิดดับ ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตนของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ควรจะอบรมอย่างไร เพื่อให้เป็นปัญญาที่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริงได้ เพราะเป็นปัญญาจึงรู้ได้ และอบรมเจริญอย่างไรจึงจะรู้ได้
ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ใช่ปัญญา ทำไมจะต้องมีสำนักปฏิบัติในเมื่อพระภิกษุท่านก็มีชีวิตปกติประจำวันตามพระวินัยบัญญัติและท่านก็อบรมเจริญสติปัฏฐานในเพศของบรรพชิตฆราวาสก็มีชีวิตอีกอย่างหนึ่งด้วยเหตุนี้พุทธบริษัทจึงต่างกันเป็นภิกษุ ภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกาและทั้ง ๔ บริษัทสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ (คลิกที่นี่ ... สำนักวิปัสสนาทำลายคำสอนในพุทธศาสนาจริงหรือ)
ผู้ถาม ถ้าอย่างนั้น เพศภิกษุมีโอกาสจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้มากกว่าฆราวาส
อ.สุจินต์ ผลทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุที่สมควร การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ใช่เพียงชั่วขณะสองขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ต้องอบรมมานับชาติไม่ถ้วน
ถ้าจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องอบรมปัญญาบารมีที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นพระอัครสาวกก็น้อยลงมา ถ้าเป็นพระมหาสาวกก็น้อยลงไปอีก ถ้าเป็นสาวกธรรมดาก็น้อยลงไปอีก แต่ไม่ใช่เพียงชั่วขณะสองขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม
เพราะฉะนั้น ใครจะทราบว่า ภิกษุท่านใดได้อบรมเจริญเหตุที่สมควรแก่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมมามากเท่าไร หรือน้อยเพียงใด และไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ฆราวาสบุคคลนั้น บุคคลนี้ ได้อบรมเหตุที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมในอดีตกาลมาเนิ่นนานเท่าไร ที่จะพร้อมรู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินั้นๆ
ด้วยเหตุนี้ ในพระไตรปิฎกจึงมีบุคคลที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมทั้งภิกษุและฆราวาสเป็นจำนวนมาก และในครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมและยังไม่ปรินิพพานนั้น ก็มีภิกษุที่ไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่มีฆราวาสที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม
เพราะฉะนั้น ก็ยากที่จะกล่าว เพราะว่าต้องเป็นไปตามเหตุที่ได้สะสมมา ถ้าเหตุที่สะสมมาควรที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาติไหน ในเพศใด ก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินั้น ในเพศนั้น ถ้าในชาตินั้นเป็นบรรพชิตและรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็เพราะได้สะสมปัจจัยมาแล้ว หรือว่าในชาตินั้นสะสมปัญญาบารมีมาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในเพศที่เป็นฆราวาสก็ได้ "ขึ้นอยู่กับเหตุ"
เหตุจริงๆ คือการสะสมให้เกิดปัญญาขึ้นรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงได้ ขณะนี้เป็นความจริงเป็นนามธรรมเป็นรูปธรรม ถ้าไม่รู้ก็ยังเป็นอวิชชายังเป็นวิจิกิจฉาความสงสัย ว่าเป็นนามธรรมอย่างไร เป็นรูปธรรมอย่างไร แต่พระอริยเจ้าดับความสงสัย เพราะว่าเกิดความรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ความสงสัยนี้ควรที่จะได้ถ่ายถอนออกไปด้วยปัญญาที่รู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าคิดว่ารู้ไม่ได้ในขณะที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน นั่นชื่อว่า ยังเป็นความสงสัยในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ชื่อว่า ได้ดับความสงสัยในสภาพธรรมที่ปรากฏ
เมื่อปัญญาต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ก็ควรที่จะอบรมสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพื่อละคลายความไม่รู้ ซึ่งก็แล้วแต่อัธยาศัยของท่านผู้ฟัง ท่านจะคิดอย่างไร ท่านจะเข้าใจอย่างไร ท่านจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร แต่ ท่านก็ควรที่จะพิจารณาว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ปัญญารู้ได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญา รู้ไม่ได้แน่นอน
เพราะฉะนั้น ควรอบรมไหม ที่จะให้ปัญญารู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรมที่กำลังปรากฏ และการที่จะดับความไม่รู้ ความสงสัยในนามธรรมและรูปธรรม ถ้ายังคงไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจะดับความสงสัยไม่ได้
(ติดตามข้อความต้นฉบับ ได้ที่ E-book แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๕๒ ตอนที่๕๑๑ – ๕๒๐ หน้าที่ ๔๘-๕๒ จัดทำ E-book โดย คุณศิรยา พุทธิวนิช)
และ ขอเชิญคลิกที่ลิงค์ด้านล่าง เพื่อความเข้าใจเพิ่มเติม...