ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๘

 
khampan.a
วันที่  3 พ.ย. 2562
หมายเลข  31274
อ่าน  2,138

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๘ * *


~ ภิกษุจริงๆ ควรที่จะเป็นที่เคารพนับถือ เพราะว่า สามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต แค่คำนี้ก็ต้องตรง สละ ก็คือ ละอาคารบ้านเรือนวงศาคณาญาติ ละชีวิตของคฤหัสถ์การงานหน้าที่ทั้งหมดที่เคยเป็นคฤหัสถ์ เพราะว่าทันทีที่ได้อุปสมบท (บวช) จะต้องสำนึกว่า เราไม่ใช่คฤหัสถ์ ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น สำหรับพระภิกษุเป็นผู้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมซึ่งยาก ละเอียด แต่รู้ว่าสามารถประพฤติขัดเกลากิเลสได้ ก็ประพฤติตาม ขัดเกลาตามพระธรรมวินัย

~ ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะไปไหน? ก็ไปทางที่ไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นมานานแสนนาน แต่เมื่อเริ่มมีความเข้าใจถูก ก็จะเป็นเหตุให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไปได้

~ ฟังพระธรรมตลอดชาตินี้ ก็เพื่อความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

~ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ปัญญาขั้นต่อไปก็มีไม่ได้

~ หนทางของปัญญา เป็นไปเพื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน

~ พระธรรม ย้ำแล้วย้ำอีก ว่า แต่ละคนนั้น มีกิเลสมากจริงๆ เพื่อจะได้ไม่ประมาทในการเจริญกุศล ขัดเกลากิเลส, เพราะเห็นโทษของกิเลส จึงมีการเจริญกุศลยิ่งขึ้น

~ การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงๆ ของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุศล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม

~ พระธรรม จะชี้ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อกุศลเป็นอกุศล แยบยลหลากหลายและละเอียดมากด้วย ยากที่จะรู้ได้ แต่ปัญญาสามารถรู้ทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ขณะนั้นเบิกบานที่ได้รู้ความจริงและได้พ้นจากการไม่รู้ความจริง

~ ไม่รั้งรอที่จะกระทำความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไร ก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่เมื่อไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล

~ ขณะที่โกรธ ไม่ใช่มิตร ขณะที่หวังร้าย ไม่ใช่มิตร ขณะที่เป็นอกุศลทั้งหมด ไม่ใช่มิตร

~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศลก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ ผูกพันกับลูกหลาน เพื่อนฝูงมิตรสหาย แต่ตายหมดเลย แล้วก็เกิดใหม่ ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะฉะนั้น ระหว่างนี้อะไรล่ะที่สะสม? ความผูกพัน ความติดข้อง หารู้ไม่ว่าไม่มีคนที่เราผูกพัน แต่ความผูกพันเกิดแล้วในใจ ซึ่งจะผูกต่อไปอีกทุกชาติ ไม่ว่าจะพบอะไร

~ ความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ เป็นปัจจัยให้เกิดความติดข้องมากมายในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าเพียงปรากฏว่ามี แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ สิ่งนั้นไม่มีอีก แต่ก็เป็นที่ตั้งของความติดข้อง ด้วยความไม่รู้ เพราะเข้าใจผิดว่ายังอยู่ ยังมี

~ การที่จะเป็นมิตรที่ดีเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่เราได้มีโอกาสพบกัน นั้น สิ่งที่ให้ที่ประเสริฐสุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามสมควรที่เขาสามารถจะเข้าใจได้

~ กว่าจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็จะต้องมีปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจในความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ไม่ใช่ว่าตรงไปถึงก็รู้ว่าเป็นธรรมได้เลย แต่กว่าจะรู้อย่างนั้น ก็ต้องเข้าใจในความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อย

~ อกุศลก็เป็นอกุศล อกุศลจะเป็นกุศลไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีปัญญาที่เห็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จึงสามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพของธรรมจริงๆ ว่า ธรรมแต่ละอย่าง ไม่ปะปนกัน ไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้, แม้ว่าอกุศลมีจริง แต่ก็ยังสามารถที่จะดับหมดสิ้นไปได้ ด้วยกำลังของสภาพธรรมที่เป็นกุศล ซึ่งสามารถที่จะทำให้เป็นไป คือ ทำให้หมดกิเลสได้

~ ถ้าเข้าใจข้อปฏิบัติผิด และกำลังปฏิบัติผิดอยู่ ก็เป็นบัณฑิตไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นบัณฑิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ

~ ความดี เป็นการสละความยึดมั่นในเรา เห็นแก่ตัว ทำดีไม่ได้ แต่เพราะรู้ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมที่ดีชั่ว ปัญญาที่เห็นถูกต้องก็เห็นโทษของความไม่ดี ละเอง ไม่ใช่ว่าต้องมีใครไปบอกว่าละเสีย ละได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้ แต่ความรู้ต่างหาก ที่ละ

~ ธรรมฝ่ายที่ไม่ดี เป็นโทษ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น นำมาซึ่งความเสื่อมและทุกข์โทษภัย โดยไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ก็มาจากความไม่รู้ความจริง จึงได้ติดข้อง จึงได้แสวงหา จึงได้กล้าทำสิ่งที่ร้ายแรงและไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นโทษทันทีที่ทำ และยังเป็นโทษในภายหลังด้วย

~ ไม่ใช่ไปรังเกียจคนนั้นคนนี้ซึ่งไม่ดี แต่ควรรังเกียจอกุศลธรรมที่มีในตนเอง

~ ไม่มีใครอยากจะไม่ดี แต่เมื่อไม่รู้ว่าอะไรไม่ดี แล้วจะดีได้อย่างไร? เพราะขาดปัญญา จึงทำให้มีความไม่ดีอย่างมากมาย

~ เวลาพบคนไม่ดี จิตของเราเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี? มีคนดี คนไม่ดี ก็เพราะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป คือ กุศลธรรม กับ อกุศลธรรม

~ ถ้าเรามีเมตตาต่อคนไม่ดี แล้วคนไม่ดีมาทำร้ายเรา ก็เป็นอกุศลกรรมของเขา ไม่ใช่ของเรา

~ น่าสงสารมากสำหรับคนทำไม่ดี เพราะเขาสร้างเหตุที่ไม่ดี ผลที่ไม่ดีก็ต้องเกิดกับเขา เช่น ตกนรกและอาจจะนานด้วย

~ ถ้ามีโอกาสที่จะให้คนอื่นได้เป็นคนดีขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย ควรไหมที่จะเกื้อกูลผู้นั้น

~ ความดี หายาก โอกาสใดควรที่จะทำความดีได้ ควรไหมที่จะทำ เมื่อเห็นประโยชน์ของคุณความดีแล้ว ก็ต้องสะสมต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

~ สิ่งที่ไม่ดี เราก็ไม่ต้องไปคบกับสิ่งนั้น จะไปคบกับสิ่งที่ไม่ดีทำไม เพราะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลก็มีเฉพาะกุศลธรรมเท่านั้น ไม่ใช่อกุศลธรรม

~ ชื่นชมในคุณความดี จิตของเราก็จะผ่องใสในคุณความดี

~ เคยคิดไหมว่า วันทั้งวัน ประโยชน์อยู่ตรงไหน?

~ ทุกพระสูตรที่ได้ฟังได้ศึกษา ก็เพื่อประโยชน์ คือ อบรมเจริญปัญญาขัดเกลาละคลายอกุศล จนกว่าจะสามารถดับได้จนหมดสิ้น

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประโยชน์โดยตลอด ทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่มีแม้บทเดียว ที่จะไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นความจริงจากการทรงตรัสรู้ของพระองค์ เป็นเรื่องของการขัดเกลาทั้งนั้น จึงจะเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ความอยากได้ รู้สึกว่าจะมีอยู่ประจำใจเลยทีเดียว เดี๋ยวอยากได้โน่น เดี๋ยวอยากได้นี่

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง เพื่อให้คนได้เข้าใจถูก คนที่เห็นผิดจะได้รู้ว่าความจริงคืออย่างไร ที่ถูกคืออย่างไร เป็นประโยชน์สำหรับเขาที่จะไม่ไปหาความเห็นอื่น

~ ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ คือ เข้าใกล้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อนั้น ไม่ไปสู่คำอื่น

~ ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ปัจฉิมวาจา คำสุดท้ายของพระองค์ คือ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ให้ถึงพร้อมหมายความว่า ฟังพระธรรมก็ต้องไม่ประมาทในความลึกซึ้งของพระธรรม เพราะถ้าประมาท ก็ไม่เข้าใจทันที

~ สำหรับทุกคน ไม่มีอะไรที่จะดี ประเสริฐเท่ากับคุณความดี เพราะฉะนั้น ก็เตือนแล้วใช่ไหมว่า คนที่จากไป เป็นใครก็ตามแต่ แต่ที่เป็น นั่น ก็มาจากชาตินี้และชาติก่อนๆ ที่สะสมมา เหมือนเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้ มาจากไหน ก็มาจากแต่ละชาติที่สะสมจนถึงชาตินี้ และชาตินี้ทั้งชาติก็สะสมที่จะปรุงแต่ง สำหรับคนที่จะเกิดต่อจากชาตินี้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการเตือนให้รู้ว่า ความดี ดีกว่าอย่างอื่น.

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๗


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
mammam929
วันที่ 3 พ.ย. 2562

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจความจริงจากพระธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 3 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มกร
วันที่ 3 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 3 พ.ย. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 4 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ