ไม่หมดความหวังดี_ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาพิเศษ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒

 
khampan.a
วันที่  6 ธ.ค. 2562
หมายเลข  31348
อ่าน  2,013

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น




ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาพิเศษ

เรื่อง

"อธิกรณ์ ภิกษุรับเงินทอง"

ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร

วันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒





[ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษในครั้งนี้]

~ ต้องรู้ว่าภิกษุคือใคร สำคัญที่สุด เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการได้ฟังธรรม ไม่มีความเข้าใจอัธยาศัยของตนเองแล้วจะไปเป็นภิกษุ ก็แปลก ต้องรู้ว่าภิกษุคือผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์และเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส ถ้าภิกษุไม่ปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสแล้วจะบวชทำไม? เพราะฉะนั้น เรื่องของการเป็นภิกษุไม่ใช่ว่าอยากจะบวชวันนี้ก็บวช แต่ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรองจริงๆ ว่านี่เป็นเพศที่สูงมากยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะว่า เป็นเพศที่จะขัดเกลากิเลสโดยพระธรรมที่มีความเข้าใจขึ้นจากการที่สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น ทุกข้อของพระวินัยเป็นไปเพื่อการขัดเกลาไม่ใช่เป็นอย่างอื่นเลย ตรงตามจุดประสงค์ของผู้ที่จะละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตว่าเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะฉะนั้น ใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ความละเอียดของการกระทำทางกายทางวาจาได้ ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติสิกขาบทคือข้อประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุที่จะต้องสิกขาคือจะต้องศึกษาให้เข้าใจจุดประสงค์แล้วก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเอง เพราะเห็นโทษของการที่จะไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความตรง (สัจจะ) ที่ผู้ที่เป็นภิกษุจะเป็นเหมือนอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละข้อของพระวินัยเป็นสิ่งซึ่งขัดเกลากิเลสทั้งหมด อย่างรับเงินรับทองรับทอง รับทำไม ถ้าไม่ยินดีจะรับไหม เพราะฉะนั้น พระธรรมส่องไปถึงใจทุกอย่างที่จะขัดเกลากิเลส และคนที่มีเงินมีทองจะทำอะไร เท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะรับมาเพื่อต้องการสิ่งที่ตัวเองอยากจะได้แล้วก็ไปแสวงหา เพราะฉะนั้น สิ่งที่แสวงหาก็เริ่มจากการไม่ขัดเกลา ไม่สำนึกว่าตนเองเป็นผู้ที่จะขัดเกลากิเลสโดยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ เพราะพระธรรมลึกซึ้งและละเอียดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะต้องเห็นความละเอียดของกิเลสเพิ่มขึ้นโดยการที่ศึกษาพระวินัย เพราะฉะนั้น เป็นภิกษุ ไม่ศึกษาพระธรรมได้ไหม ไม่ศึกษาพระวินัย ไม่ประพฤติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ได้ไหม?

~ ถ้าหวังดีต่อกัน ก็สามารถที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระศาสนาไว้ได้ แต่ถ้าไม่มีการหวังดีแล้วก็มีการทำลายคำสอนของพระศาสนา นั่นไม่ใช่การเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว แล้วใครล่ะจะกระทำตาม ต้องเป็นผู้ที่รักษาพระธรรมวินัยรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น การที่ภิกษุนิ่งเฉย (ไม่ว่ากล่าวตักเตือนเมื่อมีภิกษุอื่นกระทำผิด) เป็นการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

~ เพราะเหตุใดความเป็นผู้ว่ายาก จึงทำให้ถึงการต้องอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย) ที่หนักได้? มีหรือที่ว่ายากแล้วจะไม่ทำผิดอื่นๆ อีกต่อไป ไม่ว่าอาบัติอะไรทั้งหมด ทำได้ เพราะเป็นผู้ว่ายาก แม้ใครจะเตือนสักเท่าไหร่ อาบัตินี้ทำได้อาบัติอื่นก็ต้องทำได้ด้วย ไม่มีความเกรงพระธรรมวินัยเลย แม้ว่าจะมีข้อความที่ชัดเจนว่าไม่สมควรที่พระภิกษุจะกระทำเพราะเหตุใด ก็ยังว่ายาก แล้วจะอยู่ต่อไปได้หรือ?

~ ปัญหามีมาก เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมวินัย ก็คือว่า ให้คนที่จะเป็นภิกษุได้รู้จริงๆ ว่า เป็นภิกษุ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ โทษมากสำหรับตัวเขา ซึ่งใครๆ ก็แก้ไขให้ไม่ได้ ตกนรก ไปสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นการสำนึกของแต่ละคน เพราะพระธรรมวินัยทั้งหมด ไม่ได้ไปชักชวนใครให้มาบวชหรือว่าคิดว่าบวชมากๆ แล้วพระศาสนาจะรุ่งเรือง แต่ต้องรู้ว่า เป็นภิกษุ ยาก เพราะฉะนั้น การยาก ก็ต้องเป็นเรื่องของบุคคลนั้นที่สะสมมาพร้อมที่จะว่าง่ายในพระธรรมวินัย จึงสามารถที่จะดำรงความเป็นภิกษุไว้ได้ มิฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่เน่าใน เป็นอลัชชี (ผู้ไม่ละอาย) ซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่งซึ่งตนเองมองไม่เห็น จึงเป็นผู้ที่ว่ายากอย่างนั้นได้

~ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ทำผิดหรือเปล่าที่จะกล่าวตามพระธรรมวินัย?

~ กล่าวพระธรรมวินัย เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ใครจะฟังหรือไม่ฟังบังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้น การฟัง คือ ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรองว่าถูกไหม ถ้าถูกต้องแล้ว จะปฏิเสธหรือ?

~ เมื่อเข้าใจพระธรรมวินัยแล้ว ก็ช่วยๆ ให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเริ่มคิดที่ว่า ใครสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้โดยฐานะใด ชาวพุทธคนนั้น ก็เริ่มแก้ไข

~ พระภิกษุซื้อลอตเตอรี่ได้ไหม? ไม่ต้องพูดหรอก เพราะว่า พระไม่มีเงิน ก็ต้องย้อนไปจนกระทั่งถึงพระธรรมวินัยที่ว่า ถ้าจะให้เข้าใจที่จะทำตามพระธรรมวินัย ก็ต้องพูดให้เข้าใจว่า ตามพระธรรมวินัย พระภิกษุ มีเงินไม่ได้ แล้วจะไปซื้อลอตเตอรี่ได้อย่างไร

~ พระภิกษุ สละอาคารบ้านเรือนทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด เพื่อขัดเกลากิเลส แล้วการรับเงิน จะขัดเกลากิเลสหรือ?

~ คนไม่เข้าใจพระธรรมวินัย จะรักษาพระธรรมวินัยได้หรือ เพราะฉะนั้น มีกฎหมายออกมาเพื่อที่จะรักษาพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่รู้ว่าพระธรรมวินัยคืออะไรแล้วจะรักษาพระธรรมวินัยได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ไม่หลงเข้าใจผิดเรื่อยมาว่าชาวพุทธไม่ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจก็ได้ แต่ว่าต้องรู้จริงๆ ว่าเมื่อเป็นชาวพุทธ หมายความว่าอะไร หมายความว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แล้วพึ่งเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อจากความไม่รู้สู่ความรู้ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางเลยที่คนที่ไม่เข้าใจธรรมแล้วจะรู้ความจริงหรือจะมีความรู้สิ่งที่มีจริงๆ ได้

~ ขุ่นเคืองใจ เป็นโทสะขัดเคือง เป็นโทษไหม แค่เกิดอย่างนั้น ก็เป็นโทษแล้ว รู้ตัวหรือเปล่า?

~ พระภิกษุรับเงินและทองไม่ได้ เพราะฉะนั้น แรกๆ ที่ฟังอาจจะไม่ถูกใจ แต่ว่าถ้าเป็นคนที่มีเหตุผลก็ต้องฟังว่ามีเหตุผลอะไรที่พูดอย่างนี้ ถูกต้องหรือเปล่า พูดเองหรือเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ จะไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่ใช่ชาวพุทธ

~ หวังดีกับทุกคนที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรมถูกต้องแล้วก็บิดเบือนพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่เราสามารถไปเปลี่ยนใครได้เลย เรารู้ว่าเปลี่ยนใครก็ไม่ได้ สะสมมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แต่คำของพระองค์เป็นปาฏิหาริย์ ถ้าสามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรอง จะทำให้เขาพ้นภัยต่างๆ ได้ เพราะรู้ว่าอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นภัยใหญ่ ประโยชน์ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ประโยชน์คือความเห็นที่ถูกต้องในความจริงว่าอะไรถูก อะไรผิด ถ้ามีความเข้าใจแล้วจะไม่ทำสิ่งที่ผิด เพราะฉะนั้น ใครที่ยังผิดอยู่ก็เพราะว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น หน้าที่ของพุทธบริษัท ก็คือ ช่วยกันกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เขาพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่มาเชื่อทันที แต่ว่า ถ้าเมื่อพิจารณาไตร่ตรองแล้วรู้ว่าเป็นความจริง นั่น ก็เป็นปัญญาที่จะช่วยเขาให้ไปในทางที่ถูกต้องได้

~ ตราบใดที่เรามีความหวังดี เราไม่หมดความหวังดี เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เป็นประโยชน์กับผู้ฟังที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่เราได้กล่าวคำของพระองค์ ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งส่วนตัวเขาและต่อพระศาสนาที่จะดำรงต่อไป เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย คำเหล่านั้นคงไม่มาถึงเราจนถึงทุกวันนี้



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
mammam929
วันที่ 6 ธ.ค. 2562

กราบบูขาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
mammam929
วันที่ 6 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนากุศลจิตในการกล่าวคำจริงจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์เกื้อกูลผู้มีโอกาสได้ยินได้ฟังค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
onmywayonmylife
วันที่ 6 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 7 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 7 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เจียมจิต
วันที่ 9 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ