ไปสนทนาธรรมที่บ้านสวนเพียงพอ จ. ฉะเชิงเทรา วันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๒

 
khampan.a
วันที่  25 ธ.ค. 2562
หมายเลข  31398
อ่าน  2,514

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันนี้วันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ มีสนทนาธรรมที่บ้านสวนเพียงพอ ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ด้วยกุศลศรัทธาของคุณอารมณ์ และ คุณวิชิต ลัทธปรีชา (สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๙๕๙, ๙๖๐) ที่เห็นประโยชน์ของการฟังและการสนทนาธรรม ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดียิ่งที่จะทำให้ชาวบ้านในระแวกนี้และเพื่อนสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. มีโอกาสได้ฟังคำจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป พระธรรม เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าจริงๆ

สำหรับการสนทนาในครั้งนี้ ก็มีหลากหลายประเด็นธรรม ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เริ่มต้นที่สุด คือ ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ที่พอจะเข้าใจได้เป็นเบื้องต้น

ข้อความในปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ พรรณนาพระสรณตรัย แสดงความเป็นจริงของความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยคำว่า พุทฺธ ไว้ดังนี้

“ชื่อว่า พุทธะ เพราะอรรถว่าอะไร? ชื่อว่า พุทธะ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย

ชื่อว่า พุทธะ เพราะอรรถว่า ทรงปลุกหมู่สัตว์ให้ตื่น

ชื่อว่า พุทธะเพราะทรงรู้ทุกอย่าง

ชื่อว่า พุทธะ เพราะทรงตื่นแล้ว เหตุเพราะสิ้นกิเลสดุจความหลับทุกอย่าง เหมือนบุรุษตื่นเพราะสิ้นความหลับ เพราะทรงละธรรมอันทำความหดหู่แห่งจิตได้”

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต แสดงถึงบุคคลผู้หนึ่ง ที่อุบัติขึ้นในโลกแล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเป็นไฉน? คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นผู้หมดจดจากกิเลส เป็นผู้พ้นจากกิเลสด้วยพระองค์เอง พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่เพียงเพื่อตรัสรู้เฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ทั้งหมดเพื่ออุปการะเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างที่พระองค์ทรงเข้าใจ ทรงเห็นว่าสัตว์โลกมากไปด้วยกิเลสทั้งหลาย มีความติดข้อง ความไม่รู้ และความเห็นผิด เป็นต้น จึงทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้สัตว์โลกได้พ้นจากกิเลสตามพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้

ทุกคำของพระองค์เป็นความจริงทุกกาลสมัย เพราะไม่ได้เกิดจากความคิด แต่ว่าเกิดจากการประจักษ์แจ้งสภาพธรรมจนหมดความสงสัยและความไม่รู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง

การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น แต่จะรู้ได้ด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น แม้เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ทรงดับขันธปรินิพพาน ก็มีทางเดียวเช่นเดียวกัน คือ ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถรู้ได้ว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงสิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ไม่สามารถตรึก นึก คิด ไตร่ตรองประมวลเองได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเลยที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ใน ๒๕๐๐ กว่าปีนี้ ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และถอยกลับไปก่อนหน้านั้น ก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ และในกาลข้างหน้าก็จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปด้วย ถ้าไม่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย มืดสนิทด้วยความไม่รู้

บุคคลผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นชาวพุทธ ควรที่จะได้คิดไตร่ตรองพิจารณาว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงว่าอย่างไร พระธรรมนี้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ ก็จะไม่ทรงแสดง แต่เนื่องจากว่าทรงเห็นประโยชน์ว่ามีผู้ที่ได้อบรมเจริญเหตุที่ดีมาแล้ว สามารถที่จะฟัง พิจารณาและอบรมเจริญปัญญาได้ จึงทรงแสดง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง และ คำที่พระองค์ตรัส นั้น ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ให้โทษ เพราะมีแต่คำที่เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นคำสอนของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาก็ดำรงสืบทอดมาจนถึงสมัยปัจจุบันนี้ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม เพราะการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้ผู้ฟังได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน ทำให้เริ่มเห็นประโยชน์ของการฟัง และรู้ว่าเหตุที่จะทำให้ปัญญาเกิด ก็คือการฟัง ด้วยความตั้งใจ ด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะผู้ที่เป็นชาวพุทธ ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะให้ปัญญาเกิด ต้องฟัง ต้องศึกษา เท่านั้น

สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ก็จะเห็นได้ว่า ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ให้เวลากับสิ่งที่มีค่าที่สุดนี้ ความรู้ความเข้าใจถูก ก็ย่อมจะเจริญเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด

ข้อที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อจะรู้ความจริง เพื่อคนอื่นจะได้เข้าใจความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย ไม่ได้ต้องการอย่างอื่นใดทั้งสิ้นจากพุทธบริษัทเลยแม้แต่น้อย พระองค์ทรงมอบมรดกที่ล้ำค่า คือ พระธรรม ด้วยการทรงจำแนกแจกแจงแสดงความจริงโดยละเอียด โดยประการต่างๆ ให้กับพุทธบริษัท แต่ผู้นั้นจะไม่ได้รับมรดกเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ดังนั้น ใครที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา จะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธไม่ได้เลย ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะว่า ถ้าเป็นชาวพุทธหรือเป็นคนที่นับถือพระพุทธศาสนา ต้องตรงและจริงใจ นับถือ ก็ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนั้น สิ่งอื่นจะมีค่ายิ่งกว่าการได้รู้ความจริงได้อย่างไร ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ บริวาร ไม่สามารถที่จะนำติดตามไปได้เลย แต่ความเห็นถูกเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเอาไปจากจิตของผู้ที่เห็นถูกได้ เพราะเหตุว่า ฝังอยู่ในจิต ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในจิต เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต แม้ว่าขณะนี้จิตดับไป ก็สะสมอยู่ในจิตที่เกิดสืบต่อทุกขณะไป เป็นที่พึ่งต่อไป เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างแท้จริงสำหรับชีวิตที่เกิดมาแล้วได้ฟังได้ศึกษาสิ่งที่มีค่าที่สุด










สำหรับ ธรรม (ธมฺม) หมายถึง สิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ได้ เช่น ลักษณะของจิต ก็เป็นลักษณะที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ ลักษณะของปัญญา คือ รู้ถูกเข้าใจถูก ลักษณะของความโกรธ คือ ดุร้าย ประทุษร้ายไม่พอใจ ลักษณะของโลภะ คือ ยึดอารมณ์ ไม่สละ ไม่ปล่อย เป็นต้น ตรงตามความหมายที่ปรากฏในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ ว่า "ชื่อว่า ธรรม เพราะอรรถว่า ย่อมทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน"

ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย ก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่คำแรกที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจโดยตลอด นั่นก็คือ คำว่าธรรม คำว่าธรรม เป็นคำมาจากภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นคำไทยแล้วก็คือ สิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริง นั้น คือ อะไร? คือ ขณะนี้หรือไม่ ที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย คิดนึก ขณะที่เป็นกุศล ความดีงามเกิดขึ้นเป็นไป มีเมตตา ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรม ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นต้น หรือ ในทางตรงกันข้าม ขณะที่อกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องยินดีพอใจ หรือ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจไม่พอใจ ตลอดจนถึงสภาพธรรมที่ไม่ดีประการอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้

นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สภาพรู้ คือ รูปธรรมก็มีจริงๆ เช่น สี มีจริง เสียงมีจริง กลิ่น มีจริง เป็นต้น เหล่านี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเลย

ธรรมเป็นเรื่องที่ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะถ้าธรรมง่าย ก็คงไม่ต้องอาศัยพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าใครๆ ก็ย่อมสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมได้เอง แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะธรรม ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง ต้องอาศัยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงซึ่งเกิดจากการทรงตรัสรู้ของพระองค์ จึงจะสามารถเข้าใจถูกตามความเป็นจริงได้

จะเห็นได้ว่า ธรรมแม้ที่กำลังมีในขณะนี้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นธรรม ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย คิดนึก ตั้งแต่เกิดจนตาย มองหาธรรมไม่เจอว่าธรรมอยู่ที่ไหน เพราะไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ต่อเมื่อใดที่ได้ฟังแล้ว ก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมเลย เพราะว่าไม่มีวันพ้นจากธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่าเป็นธรรม จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นธรรม ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ต้องเป็นสภาพธรรมที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของธรรมนั้นๆ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วถ้าสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ ถ้าคิดให้ลึกๆ ให้ถูกต้อง ก็จะเข้าใจถูกได้ว่าสิ่งที่ปรากฏ ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นจะไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่เพราะไม่รู้ว่าเกิดคืออะไรเกิด? เมื่อไม่รู้ จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมดว่าเป็นเรา

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าถ้าพิจารณาไตร่ตรองจริงๆ ก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของธรรมได้ แต่ก็ไม่มีใครไตร่ตรองในลักษณะเช่นนี้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม กว่าจะได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีการเกิดขึ้น มีการปรากฏ แล้วก็ดับไป ก็ต้องเป็นการฟังด้วยการพิจารณาจริงๆ จึงจะสามารถรู้ในพระคุณที่ได้ทรงประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง โดยนัยประการต่างๆ ตลอด ๔๕ พรรษา นับคำไม่ถ้วน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครเพียงฟังเดี๋ยวนี้แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะว่า ฟังแล้ว ก็ต้องฟังอีก แล้วก็ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะจริงๆ ของธรรมได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องยากแน่นอน ไม่ใช่เรื่องที่เพียงฟังวันนี้แล้วทุกคนก็จะเห็นว่าเป็นธรรมทั้งหมดไม่ใช่เราอีกต่อไป จึงแสดงให้เห็นว่า การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม


สำหรับประเด็นสนทนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น .- การศึกษาพระธรรม เป็นประโยชน์เกื้อกูลกับชีวิตอย่างไร? เรื่องการเทศน์มหาชาติ ที่ทำๆ กันอยู่ในยุคนี้ ผิดถูกอย่างไร ตรงตามจุดประสงค์ของการแสดงธรรมหรือไม่? การติดกัณฑ์เทศน์ การถวายเงินแก่พระภิกษุ เป็นบาปหรือเป็นบุญ เพราะอะไร? การบวชตามประเพณีที่ทำตามๆ กันไป นั้น ตามพระธรรมวินัยแล้ว แสดงเรื่องของการบวชไว้อย่างไร? คฤห้สถ์ถวายอาหารที่เป็นเหตุให้พระภิกษุต้องนำไปปรุงให้สุกเอง ผิดพระวินัยหรือไม่อย่างไร?

การที่พระภิกษุประกาศเชิญชวนเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของต่างๆ แล้วนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้หรือด้อยโอกาส เป็นกิจของพระภิกษุหรือไม่? พระภิกษุเล่นไลน์ เล่นเฟสบุค มีโทรศัพท์มือถือ สมควรหรือไม่? ประเด็นเรื่องผิดศีลข้อ ๓, กำลังของกิเลส มีความละเอียดอย่างไร? เมื่อมีปัญหาซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดมากมาย ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากไม่เข้าใจพระธรรมวินัย หนทางแก้ไขที่ดีที่สุดควรจะเป็นอย่างไร? แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง บังคับบัญชาไม่ได้ ใครจะเห็นประโยชน์ของพระธรรมหรือไม่ นั้น ขึ้นอยู่กับอะไร? ขันธ์ทั้งหลายคืออะไรบ้าง? ความเป็นธรรม ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรเป็นสำคัญ? ความติดข้อง กับ กิเลส มีความละเอียดอย่างไร?

ขอเชิญติดตามรับชมได้ทางยูทูป ช่อง มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในอนาคตอันใกล้นี้ ครับ



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
mammam929
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornchai.s
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

สิ่งอื่นที่มีค่ายิ่งกว่าความเข้าใจพระธรรม ไม่มี

สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Fongchan
วันที่ 25 ธ.ค. 2562

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
isme404
วันที่ 26 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 26 ธ.ค. 2562

.. ขอบพระคุณ​และขออนุโมทนาค่ะ..

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Napong klakhaeng
วันที่ 26 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 26 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 26 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
panasda
วันที่ 26 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
jariya.tr
วันที่ 26 ธ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาอ.วิทยากรทุกท่านและอนุโมทนาผู้ร่วมสนทนาจนเกิดความเข้าใจ (ปัญญา) ทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 9 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
สิริพรรณ
วันที่ 13 เม.ย. 2565

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลทุกท่านทุกประการค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ