ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๗ ม.ค. ๒๕๖๓

 
khampan.a
วันที่  5 ม.ค. 2563
หมายเลข  31429
อ่าน  1,867

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๗ * *



~ ทำไมต้องเป็นภิกษุ? เป็นคฤหัสถ์ ก็สามารถจะเข้าใจธรรมได้ แต่อัธยาศัยไม่เหมือนกัน ต้องไม่ลืมอัธยาศัย เป็นผู้ที่ตรง ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศที่ต่างจากคฤหัสถ์ได้ ต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน มีข้อความในพระไตรปิฎกว่า เป็นภิกษุยาก มีไหม? คิดว่ายากหรือง่าย? เห็นไหม ไม่ใช่ว่าอยากบวชก็บวช นั่นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นภิกษุ ยาก เพราะอะไร? ที่เคยมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ทั้งหมด ทำไม่ได้ ทำอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้เลย

~ ชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างกันระหว่างบรรพชิตและคฤหัสถ์ ซึ่งถ้าบรรพชิตใด มีความเป็นอยู่ไม่ต่างกับคฤหัสถ์ ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่เป็นที่ควรแก่การที่จะสรรเสริญและเคารพกราบไหว้มากกว่าคฤหัสถ์

~ มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระมหากรุณาที่พระองค์ทรงแสดงธรรม ทุกคำที่ทุกคนกำลังได้ฟัง ต้องไม่ลืม มีความเข้าใจเพราะใคร? ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางเลยที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

~ ถ้าเรากล่าวพระธรรมวินัยให้คนอื่นได้เข้าใจ เป็นการพยายามเพื่อที่จะละภัยหรือเปล่าที่จะเกิดขึ้นต่อไปที่จะทำให้พระพุทธศาสนาอันตรธาน (สูญสิ้น) ไม่มีอะไรมีค่าเท่ากับพระธรรม และถ้าอันตรธานไป โลกก็มืดเหมือนเดิม จะไม่มีการรู้เลยว่าไม่มีเราขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมดก็จะอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์นับประมาณไม่ได้

~ พระธรรมทั้งหมด ควรค่าอย่างยิ่งที่จะดำรงรักษาเพื่อที่จะได้ให้คนที่ได้มีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ต้องตรงตามพระธรรมวินัย

~ เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะเป็นเหตุให้ไม่เดือดร้อนแล้วก็ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ต่อการที่จะเข้าใจพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น

~ ใครจะทำอะไร เขาก็ต้องทำตามการสะสม ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความเข้าใจที่ถูกต้อง เราก็ทำสิ่งที่เราทำด้วยความถูกต้อง ใครก็ห้ามเราไม่ได้ที่จะไม่ให้ทำอย่างนั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง แต่จะห้ามไม่ให้เราหวังดีไม่ให้คนอื่นได้ฟังธรรม นั่น ก็เป็นไปไม่ได้ ใครก็ห้ามไม่ได้

~ คำใดที่มีใครอ้างว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ กล่าวว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างนี้ หรือกล่าวว่านี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนฟังจะรู้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือ ก็คือ เมื่อคำนั้น กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ให้มีความเข้าใจ จากการที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย

~ ขณะนี้ใครก็ตาม ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเป็นผู้ที่ตรง ไตร่ตรองเพื่อประโยชน์ เมื่อมีความเห็นถูกแล้วคิดถึงคนอื่นที่เขาเห็นผิดบ้างไหม ที่ถ้ามีโอกาสที่จะเกื้อกูลให้เขาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่น เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตที่ได้เกิดมา เพราะฉะนั้น ใครที่มีโอกาสได้เข้าใจพระธรรม เห็นคุณอย่างยิ่งแล้วทำทุกอย่าง ในชีวิตซึ่งไม่มีอะไรที่จะมีประโยชน์ยิ่งกว่านี้เลย คือ ให้คนอื่นได้มีความเข้าใจพระธรรมด้วย

~ ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรม พระศาสนาก็ดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรียนเผินๆ เรียนแล้วก็ไปทำสิ่งที่ผิดๆ เช่น ศึกษาธรรมแล้วก็ไปมีสำนักปฏิบัติหรือไปสำนักปฏิบัติ ถ้าเรากล่าวให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เป็นประโยชน์ไหมหรือว่าไม่พูด? แล้วทำไมไม่พูดล่ะในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับคนฟัง ที่เขาจะไตร่ตรองแล้วก็เป็นผู้ตรงในการที่จะดำรงพระศาสนา

~ เป็นการยากที่จะได้ถึงความเป็นผู้ที่มั่นคงในพระธรรม เพราะว่า พระธรรม ไม่ง่ายเลย ยิ่งได้ฟังได้เข้าใจ ก็ยิ่งเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง จนมีความประสงค์ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ไม่ว่าเขาจะรักหรือเขาจะชัง ก็ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่า เราไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อจะให้คนรักหรือคนชัง แต่ว่า ทำเพื่อประโยชน์จริงๆ

~ ถ้าท่านคบหาสมาคมกับคนดี ท่านก็ย่อมมีผู้ที่ชักนำชักจูงให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดี แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่คบหาสมาคมกับผู้ที่มีความประพฤติชั่ว ท่านก็ย่อมจะถูกชักจูง โน้มเอียงไปในทางชั่ว ทีละเล็กทีละน้อย ฉันใด แม้ความเห็นที่จะถูกหรือจะผิด ก็ขึ้นอยู่กับการคบหาสมาคม เช่นเดียวกัน ถ้าท่านคบหาสมาคมกับคนเห็นผิด โน้มเอียงไปในทางความเห็นผิด ขาดการพิจารณา ไตร่ตรองโดยแยบคาย ท่านก็ย่อมจะคล้อยตามโน้มเอียงไปในความเห็นผิดนั้น แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่คบหาสมาคมกับผู้ที่มีความเห็นถูก ท่านก็จะได้รับการชักจูงโน้มเอียงไปในการที่จะเป็นผู้ละเอียด และเป็นผู้ที่พิจารณาคล้อยตามคลองของธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความเห็นถูกด้วย

~ ธรรม เป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรจะประมาท เพราะรู้ว่า อกุศลล้อมรอบทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หลงลืมสติขณะใด ไม่พ้นจากอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเลย

~ แม้จะรู้ว่า อกุศลธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด แต่ว่าในชีวิตของแต่ละคน ย่อมรู้สึกได้ว่า ได้กระทำไปในหลายสิ่ง ซึ่งภายหลังก็รู้สึกว่า ไม่ควรที่จะกระทำอย่างนั้นเลย แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น การกระทำอย่างนั้นก็เกิดขึ้นเป็นไป

~ หนทางเดียวที่จะระงับความเดือดร้อนใจได้ ก็คือระลึกรู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละชนิดซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

~ ถ้าไม่อบรมเจริญกุศล ก็จะพ้นจากสภาพของจิตชั้นเลวไม่ได้ คือว่า ยังคงเป็นอกุศลจิตอยู่มากเหลือเกิน แล้วยังมีความยินดีพอใจในอกุศลนั้นๆ ด้วยความไม่เห็นว่าเป็นโทษ

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่ออุปการะไม่ให้เข้าใจผิด ไม่ให้คิดธรรมเอาเอง

~ สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม และเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงเป็นอภิธรรม และสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ นั้นใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม

~ ในการศึกษาพระธรรมนั้น ไม่ใช่ศึกษาอย่างอื่น แต่ศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน

~ พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดปัญญาเป็นของตนเอง ด้วยการตั้งใจฟังคำของพระองค์ ไม่ใช่พึ่งเพื่อขอให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

~ ทางไปสู่นรก ก็มี ทางไปสู่การเกิดเป็นเปรตก็มี ทางไปสู่การเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็มี ทางไปสู่สุคติ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา ก็มี ทางไปสู่พระนิพพาน ก็มี แต่เพราะไม่รู้ จึงเดินไปตามทางอันจะทำให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิ คือ กระทำอกุศลกรรม

~ บุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็ต้องมีความอดทน ละเว้นการทำบาปทั้งสิ้น มีการอดทนที่จะยังกุศลให้ถึงพร้อม มีความอดทนที่จะยังจิตของตนให้ผ่องใส ขาดความอดทนไม่ได้เลย ถ้าขาดความอดทน ก็เป็นอกุศล แล้วก็สามารถที่จะกระทำบาปไปทันทีได้ เพราะขาดความอดทน

~ การที่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ไม่ง่าย เพราะว่าเคยไม่รู้มานาน แม้แต่เวลาที่ได้ยินได้ฟังคำว่า “ธรรม” คำเดียว ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่า อะไรเป็นธรรม ขณะนี้เป็นธรรมหรือเปล่า และธรรมขณะนี้เป็นธรรมอะไร ก็ไม่รู้ทั้งนั้นเลย เป็นเราบ้าง เป็นของเราบ้าง เป็นเรื่องราวต่างๆ บ้าง

~ ทุกคน มีโทษมาก มีข้อที่ควรตำหนิมาก แต่ผู้ที่จะตำหนิและชี้โทษ ไม่มีใครที่สามารถจะทำได้มากเท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วพิจารณา ก็ย่อมเห็นโทษของกิเลส ซึ่งทุกคนยังมีอยู่มากทีเดียว

~ เริ่มทำในสิ่งที่ถูกต้อง ประเพณีที่ถูกต้องก็จะเริ่มเกิดขึ้นได้ในกาลข้างหน้า ถ้ามีการกระทำที่ถูกต้องในขณะนี้ เดี๋ยวนี้.

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๖



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
mammam929
วันที่ 5 ม.ค. 2563

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจพระธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 5 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
panasda
วันที่ 5 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 5 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Khemsai
วันที่ 5 ม.ค. 2563

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jariya.tr
วันที่ 5 ม.ค. 2563

กราบเท้าบูชาคุณท่านอ.สุจินต์กราบขอบคุณและกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ อ.คำปั่น และอ.วิทยากรทุกท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Nattaya40
วันที่ 5 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 6 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 6 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 6 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Thanapolb
วันที่ 8 ม.ค. 2563

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของอ.คำปั่น

และท่าน อ.วิทยากร ทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ