ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๙

 
khampan.a
วันที่  19 ม.ค. 2563
หมายเลข  31468
อ่าน  1,736

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๙ * *


~ สิ่งใดเป็นประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฏฏ์? เพราะว่าอยู่มาก็หลายชาติเดี๋ยวก็เป็นนั่น เดี๋ยวก็เป็นนี่ เดี๋ยวก็เป็นโน่น พอถึงชาตินี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ เพียงเท่าที่จะเป็นเฉพาะชาตินี้เท่านั้น ชาติต่อไปก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้แล้วว่าจะไปเป็นอะไรต่อไป แต่ก็ต้องเป็น เพราะเหตุมีที่จะให้เป็นก็ต้องเป็น ไม่เป็นไม่ได้ แต่ว่า การที่จะได้มีโอกาสได้ฟังธรรมเข้าใจ ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์

~ เป็นผู้ที่ตรง รู้ตามความเป็นจริงว่า จะขัดเกลากิเลสซึ่งมีมากในฐานะที่สะสมมาแล้ว โดยเพศของคฤหัสถ์ เป็นไปได้แน่นอน เมื่อมีความเข้าใจ แต่ถ้าบวชโดยไม่รู้อะไรเลย ไร้ประโยชน์ เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น

~ พวกโจรนี่ก็ปรากฏชัดๆ ในอาการกิริยาการกระทำของโจร แต่ว่าถ้าโดยอาการหลอกลวง โดยอาการเท็จในเพศของสมณะ ในเพศของบรรพชิต ไม่เหมือนพวกโจรที่ปรากฏอาการของพวกโจรจริงๆ ให้ผู้อื่นประจักษ์ว่าเป็นโจร แต่นี่ลักษณะอาการเป็นบรรพชิต แต่เมื่อคุณธรรมไม่มีจริง ก็อวดอ้าง และก็ได้ลาภสักการะปัจจัยต่างๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า นี้ จัดเป็นยอดมหาโจร

~ ถ้าตราบใดยังไม่ประจักษ์ในลักษณะของสภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรม จะมีความเห็นผิดเกิดมากมายหลายประการ เนื่องมาจากการไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง นอกจากจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่มีแต่ความเห็นผิดเท่านั้น กิเลสอื่นที่ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น เมื่อได้ปัจจัยควรแก่กิเลสนั้นๆ ก็เกิด ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นกาย หรือวาจา หรือใจ ก็ย่อมประกอบไปด้วยกิเลสนานาประการ


~ ถ้าสามารถที่จะวิรัติ (งดเว้น) วจีทุจริต โดยสติเกิดขึ้นรู้ว่า เป็นวจีทุจริตที่ไม่ควรจะกล่าว แล้วก็อบรมเจริญวจีสุจริต พูดด้วยกุศลจิตมากขึ้น การพูดด้วยกุศลจิตทั้งหมดย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง โดยเฉพาะการที่จะพูดถึงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด หรือว่าเป็นการสนทนาธรรม เป็นการสอบถามธรรม เพื่อความเจริญยิ่งขึ้นในกุศลธรรม ก็จะเห็นได้ว่า คำพูดต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดเป็นคำพูดที่มีประโยชน์ เป็นคำพูดที่เกื้อกูลแก่สหายธรรม

~ เรื่องของวาจา ก็แล้วแต่สภาพของจิต พูดเรื่องธรรมที่เป็นอกุศลโดยละเอียด แต่พูดด้วยกุศลจิตได้ เพื่อจะให้ผู้ฟังเข้าใจสภาพธรรมนั้นโดยแจ่มแจ้ง

~ การกระทำใดๆ ถ้าเป็นไปด้วยอกุศลจิต แม้วาจาที่เป็นไปด้วยอกุศลจิต ก็ย่อมไม่อาจทำถ้อยคำของตนที่พูดออกไปแล้วให้สมควรได้ อันนี้พอจะพิจารณาเห็นได้ ใช่ไหม? เวลาพูดด้วยอกุศลจิต มีคำพูดที่แรงเกินไปบ้าง หรือว่าไม่ควรจะเป็นในลักษณะกระทบกระเทียบเปรียบเปรยเสียดแทงให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ก็เป็นไปแล้ว ด้วยอกุศลจิต

~ สำหรับการพูดเท็จ จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่ขัดเกลา ไม่บรรเทา ไม่เห็นว่าเป็นโทษ ไม่เห็นว่าเป็นอกุศลธรรมที่น่ารังเกียจแล้วละก็ ย่อมนำมาซึ่งทุจริตกรรมทุกประการได้ เวลาที่คิดทุจริต แม้แต่ก่อนที่จะกระทำ ก็ต้องอำพราง ต้องปกปิด ต้องพูดเท็จ เพื่อจะกระทำทุจริตกรรมนั้นให้สำเร็จลงไปได้ แม้ว่ากระทำแล้ว ก็ยังไม่ปรารถนาที่จะให้บุคคลอื่นเห็น รู้ว่าเป็นทุจริต ก็ยังต้องพูดเท็จ อำพราง ปกปิดต่อไปอีก

~ ทำอย่างไรจะสามารถค่อยๆ ละคลายความเป็นเราได้ ถ้ายังคงไม่ดีอยู่ตราบใด เครื่องหุ้มห่อมีอยู่ตลอดเวลาเพิ่มเข้าไปอีก ไม่มีทางจะละได้ ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณประโยชน์จริงๆ ของความดี ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักเท่าไหร่ นั่นแหละขณะที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำร้ายแล้วก็ไม่ได้หุ้มห่อไว้ที่จะให้ไม่รู้ต่อไป แต่ขณะนั้นเห็นประโยชน์ ว่า ถ้าขณะนั้นเกิดความไม่ดีขึ้น ความไม่ดีนั้นก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าความดีเกิดขึ้นเพียงนิดเดียวเล็กน้อยเท่าไหร่ ขณะนั้น ไม่ใช่อกุศลที่จะหุ้มห่อปิดบัง เพราะฉะนั้น เห็นคุณของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แล้วจะละเลยโอกาส (ของกุศล) ไหม? แต่ก่อนเคยละเลยมามาก แต่เดี๋ยวนี้ ที่ไหน ตรงไหน ก็เป็นโอกาสของกุศลทั้งสิ้น

~ กว่าจะเห็นธรรม ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้เป็นธรรม คิดดู ต้องอาศัยการฟังที่จะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าไม่มีเรา แต่ว่าอะไรที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรา? เพราะความไม่รู้ นี่แน่นอนที่สุด เมื่อไม่รู้แล้วทำอะไร? ก็ทำสิ่งที่ไม่ดี ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดีแล้วไม่ใช่เรา ก็ไม่ทำแน่นอน แต่บังคับบัญชาไม่ได้เพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ หนทางเดียว คือ ไม่มีความเข้าใจผิดว่าสิ่งอื่นจะสามารถที่จะทำให้รู้ความจริงที่กำลังปรากฏได้ นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ทุกคนได้ฟัง ฟังแล้วไตร่ตรองแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในขณะนั้นก็เริ่มที่จะละ แต่ยังไม่ได้ละเพราะว่าความเข้าใจไม่พอ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดอยู่ที่ความเข้าใจ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ทั้งพระวินัย พระสูตรและ พระอภิธรรม ก็ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดทั้งสิ้น แต่เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับแสนนานมาแล้ว แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปตราบใดที่ยังมีความไม่รู้

~ ถ้าความดีเกิดขึ้น ขณะนั้น ความไม่ดีคืออกุศลก็เกิดไม่ได้ สะสมกุศลไปชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ที่กุศลเกิด หนทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย โดยเฉพาะเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราก็เพิ่มการที่จะฟังธรรมเพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่มีคำอื่นที่จะทำให้เห็นว่าไม่ใช่เรา นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

~ ขณะที่พูดไม่ดี จิตขณะนั้นเป็นอย่างไร? ถ้าจิตดี พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ออกไป จิตเป็นอย่างไร แล้วจิตใคร แล้วใครจะละความไม่ดีที่สะสมมาในจิตนั้นได้ ไม่ใช่คนอื่นเลยทั้งสิ้น แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ละให้ใครไม่ได้ แต่คำของพระองค์ทุกคำ เป็นธรรมเตชะ (ธรรมเดช) ไตร่ตรองเป็นความจริงทั้งหมดแล้วก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าวันหนึ่งๆ สภาพธรรมที่สะสมมาที่เกิดขึ้นเป็นไปแล้วเข้าใจว่าเป็นเรา นั้น เป็นอะไร ดีมากไหม? ปัญญา มีหรือเปล่า? คิดที่จะละสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า? แม้คิด มีไหม?

~ มากมายหลายอย่างที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์ที่ทำให้แต่ละคนต่างกันไป ใครๆ ก็ช่วยใครไม่ได้ แต่ความเข้าใจที่เกิดจากการฟังพระธรรมแล้วไตร่ตรองค่อยๆ รู้ความจริงทีละน้อยทีละน้อยว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ถ้าจิตไม่ดีเกิดขึ้น ก็ทำให้จิตที่เป็นผลของความไม่ดีนั้นเป็นไป ใครก็บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้

~ ตราบใดที่ปัญญาไม่เกิด ตราบนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงได้ว่าไม่มีเรา แน่นอน

~ ถ้าเข้าใจธรรมขึ้น ความเข้าใจนั้นต่างหากที่จะนำไปสู่กุศลทั้งปวง

~ การได้ฟังธรรมและการเป็นผู้ที่มีเหตุผลในชาตินี้ ชาติต่อไป ไปพบอะไรก็คิดได้ ในเรื่องเหตุผล ว่า ถูกต้องหรือเปล่า ก็สามารถที่จะมีที่พึ่งได้ คือ มีความเห็นถูกเข้าใจถูก ว่า ทุกอย่างที่ถูก ต้องเป็นเหตุผล

~ ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจเป็นมิตรกัน การกระทำและวาจาก็ย่อมจะทำให้ระลึกถึงกัน เพราะเหตุว่า เป็นการกระทำที่ดีต่อกัน และวาจาก็เป็นวาจาที่ดีต่อกัน นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงกุศลจิตในขณะนั้นได้

~ ทานกุศลเพื่ออะไร ต้องคิดใช่ไหม? ผู้ที่จะกระทำกุศลแม้ขั้นทาน ก็ต้องพิจารณาว่า ทานกุศลนี้เพื่ออะไร เพื่อต้องการได้บุญมากๆ หรือว่าเพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือบุคคลอื่น? นี่ต้องพิจารณาแล้ว

~ พุทธบริษัท ก็ทำหน้าที่รับใช้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง สมควรที่เราจะได้นำคำของพระองค์ให้คนอื่นได้เข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าจะไม่ศึกษาและก็จะคิดเอง

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้ค่อยๆ มีความเห็นที่ถูกต้อง เกิดปัญญา มีความรู้ ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรหรือไม่ควร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าหลงเข้าใจ ว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี คนนั้นก็ทำชั่ว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย

~ ความคิดของท่านเอง ในวันหนึ่งๆ เปลี่ยนจากที่เคยเป็นอกุศล แล้วเป็นกุศลเพิ่มขึ้นหรือไม่ คือ คิดที่จะละคลายอกุศลหรือยัง เช่น คิดที่จะไม่ผูกโกรธ เตือนบ่อยๆ เพราะว่า ความโกรธนี้ ทุกคนมี แล้วมีแล้วบางคนก็ไม่ลืม โกรธนาน

~ เวลาโกรธ ไม่สบายใจ เวลาโกรธมาก ก็จะไปทำร้ายคนอื่นได้ เวลาโลภะเกิด ก็มีความติดข้องต้องการ เวลาไม่ได้ ก็เกิดโทสะ เมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องรักษาไว้อย่างดี กลัวสูญหายอีก เหนื่อยไหม? ถ้าไม่มีเลย สบายไหม?

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๘



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 19 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Nattaya40
วันที่ 19 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 19 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Khemsai
วันที่ 19 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
mammam929
วันที่ 19 ม.ค. 2563

กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกประการที่เกื้อกูลให้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 19 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 19 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 19 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 20 ม.ค. 2563

.. ขอบพระคุณ​และขออนุโมทนาค่ะ..

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
siraya
วันที่ 20 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 20 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ธีรพันธ์
วันที่ 23 ม.ค. 2563

กราบอนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ