คนจนกับคนรวย
คนที่เกิดมาลำบากยากจน แสดงว่าในชาติก่อนไม่ได้ทำทานไว้มาก ถ้าเขาตายไปขณะที่ยังยากจนเมื่อวัยชราอยู่แสดงว่า ชาติต่อๆ ไปเขาจะไม่มีทางเกิดในตระกูลเศรษฐีใช่หรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน สัตว์ทั้งหลายทำกุศลกรรมและอกุศลกรรมไว้มากมาย นับประมาณไม่ได้ กุศลกรรมเมื่อให้ผลย่อมทำให้เกิดในสุคติภูมิหรือเป็นผู้มีทรัพย์ เป็นต้น อกุศลกรรมให้ผล ก็ย่อมตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นพระธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นเหตุและผลและตรงตามความเป็นจริง การให้ทาน ย่อมเป็นผู้มีทรัย์ ผู้ไม่ให้ทานก็ตรงกันข้าม แต่สัตว์โลกไม่ได้เกิดมาชาติเดียว เพราะฉะนั้น ผู้ไม่ได้ให้ทานในชาติก่อน ทำให้ไม่มีทรัพย์ในชาตินี้ เป็นต้น และชาตินี้เขาก็ไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้หมายความว่า จะต้องยากจนไปตลอด ก็ตามเหตุปัจัจยที่บุคคลนั้นมีกรรมในอดีต ในชาติก่อนๆ นี้ที่เคยทำกุศลกรรมเอาไว้ อาจให้ผลในชาติต่อๆ ไป ก็ได้ นี่คือ ความยาวนานของสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมว่าหากว่าเธอเห็นบุคคลที่เป็นเศรษฐี หรือ ยากจน พึงสำเหนียกว่าแม้เราก็เคยเกิดเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ควรที่จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมเพื่อละทุกข์ ละกิเลส ละสังสารวัฏฏ์ที่เกิดตายไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดที่มีกิเลส ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ละคน เกิดมา มีความแตกต่างกัน ทั้งด้วยการได้รับผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว และ แตกต่างกันตามการสะสมอีกด้วย แต่สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ แต่ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีฐานะความเป็นอยู่อย่างไร ก็ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นความเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญา เลย สำคัญที่ผู้นั้นจะเห็นความสำคัญของการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมและเห็นประโยชน์ของการสะสมความดีในชีวิตประจำวันหรือไม่ เพราะเหตุว่า ทรัพย์สินเงินทองที่มี รวมไปถึงสิ่งต่างๆ ที่คิดว่าตนเอง มี นั้น ไม่สามารถติดตามไปในภพหน้าได้ แต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์สะสมสืบต่อไปในจิตทุกขณะ คือ คุณความดี และ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
ว่าด้วยกฏแห่งกรรม [จูฬกัมมวิภังคสูตร]
สิ่งที่มีค่าที่สุดที่อยู่ในจิต คือ ปัญญาและคุณความดี
...อนุโมทนาในกุสลจิตของทุกๆ ท่านครับ...