ภัยเกิด เพราะไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา_ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาพิเศษ วันศุกร์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๓

 
khampan.a
วันที่  24 ม.ค. 2563
หมายเลข  31489
อ่าน  1,951

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาพิเศษ

"ภัย ของพระพุทธศาสนา"

ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร

วันศุกร์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๓



[ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษในครั้งนี้]

~ ต้องไม่ลืมว่า พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการศึกษาให้เข้าใจ พระพุทธศาสนาก็อันตรธาน (สูญสิ้น) เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ที่สำคัญที่สุด ก็คือว่า ต้องดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถูกต้องตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่ตรง ก็คือ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าไม่ได้เข้าใจและไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะรักษาพระพุทธศาสนา ก็ไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่เอาอะไรมารักษา แต่รักษาด้วยความเข้าใจคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้อย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการศึกษาโดยละเอียดโดยรอบคอบ พระพุทธศาสนาก็ต้องอันตรธานทีละเล็กทีละน้อย จากการที่เหมือนยังคงมีอยู่แต่ก็ไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง

~ กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริง แต่ที่จะให้ถึงเฉพาะความเข้าใจที่ได้จากความเข้าใจขั้นปริยัติ มาสู่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริงทุกขณะ ต้องเป็นปัญญาที่สูงกว่านั้น เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งที่ใช้คำว่าอริยสัจจะ สามารถทำให้คนที่ได้มีความเข้าใจและประจักษ์แจ้ง ถึงความเป็นผู้ประเสริฐยิ่ง คือ ดับกิเลสได้

~ แม้แต่คำว่า ธรรม คิดเองไม่ได้ ถ้าคิดเอง ก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นคำอื่นจากที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว

~ แค่คิดว่าจะไปสำนักปฏิบัติ ก็เป็นภัยแล้ว ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ที่จะไม่ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและก็คิดที่จะปฏิบัติ โดยไม่รู้ว่าปฏิบัติเป็นปัญญาที่ต้องเกิดจากการได้ฟังไม่ใช่ปัญญาเล็กๆ น้อยๆ ด้วย รอบรู้ในพระพุทธพจน์อย่างมั่นคง จนสามารถที่จะทำให้มีปัญญาอีกระดับหนึ่งที่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ที่ได้ฟังแล้ว ว่า ไม่ใช่เรา

~ ธรรม เดี๋ยวนี้ มีไหม ถ้ามี แต่ไม่ได้ฟังพระพุทธพจน์แล้วจะรู้ไหมว่าไม่ใช่เรา ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยการฟังแล้วมีความเข้าใจที่มั่นคง

~ ต้องไม่ลืมว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการนำไปสู่ปัญญา ทำให้เกิดปัญญา คือ ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีทุกขณะ ไม่เว้นเลย

~ ถ้าเป็นผู้ที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ นับถือคำของพระองค์ เปลี่ยนคำของพระองค์ได้หรือไม่ได้? ใครจะเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ไม่นับถือแล้ว ใช่ไหม? จะบอกว่านับถือแล้วไปเปลี่ยนคำของพระองค์ได้อย่างไร?

~ ทุกอย่าง ไม่มีปัญหา ถ้าจะเคารพนับถือคำของพระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้า มีที่ไหนที่พระองค์ตรัสว่า ภิกษุ รับเงินนิดหน่อยได้แล้วก็อย่ารับมาก? ไม่มีเลย

~
ทุกวัน ทุกเรื่องมากมาย แต่ก็สรุปที่ว่าชาวพุทธไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะอ้างว่า นี่ ทำได้ แต่ว่า พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสอนุญาตเลย เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ผิดไปจากพระธรรมวินัย ก็ให้อ้างมาเลยว่า มีตรงไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อนุญาตให้ภิกษุรับเงินเพียงเล็กน้อยหรืออะไรๆ ทั้งหมดที่ทำกัน (ในสิ่งที่ผิด) ก็ไม่มี แต่ถ้าศึกษา ก็จะรู้ว่า นี่ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เป็นภัยต่อคำสอนของพระองค์

~ จะรักษาพระพุทธศาสนา จะคุ้มครองพระพุทธศาสนา จะทำอะไรก็ตามแต่ โดยการที่ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร สามารถจะเป็นไปได้ไหม?

~ ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจและก็ไม่เกี่ยงด้วย ไม่ใช่ว่าให้คนนั้นคนนี้ทำ แต่ตนเองนั่นแหละ เป็นผู้หนึ่งที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้

~ เจ้าอาวาส บอกว่า (โยม) ถวายเงินเพียงนิดหน่อย น้อยไป อย่างนี้หรือจะเป็นผู้ที่รักษาพระธรรมวินัย

~ ถ้าอยากจะเป็นผู้มีชีวิตเหมือนอย่างชาวบ้าน แล้วบวชทำไม

~ ต้องศึกษาพระธรรมด้วย ไม่ใช่บวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรม ไม่รู้จักพระวินัย ไม่ประพฤติตาม อย่างนั้น ไม่ใช่บวชในพระพุทธศาสนาแน่นอน เพราะฉะนั้น จึงควรจะถามผู้มีปัญหาเยอะแยะ เช่น เรื่องภิกษุรับเงินทองมากน้อยนั้น ว่า บวชทำไม ทำไมบวช ตอบหน่อย? ถามได้ แล้วจะได้คำตอบหลากหลายว่า ทำไมบวช? ถ้าบวชแล้วต้องศึกษาพระธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส ต้องรู้พระวินัยด้วยที่จะไม่ละเมิด เพราะว่า ใครเป็นผู้อนุญาตให้บวช ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงประทานอนุญาตให้บวช ก็ไม่มีพระภิกษุ สำหรับผู้ที่จะขัดเกลากิเลสด้วย ไม่ใช่ผู้ที่บวชไปโดยไม่ศึกษาธรรมไม่ขัดเกลากิเลส แล้วทำไมบวช?

~ จุดประสงค์ของผู้บวชคืออะไร? ขัดเกลากิเลสแน่นอน แล้วใครรู้ดี ว่า กิเลสเป็นอย่างไร ละเอียดแค่ไหน หนทางที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถจะค่อยๆ เห็นกิเลสแล้วละกิเลสได้ ใครรู้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ เหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วและเหตุการณ์ปัจจุบัน ก็เหมือนกัน เพราะชาวพุทธไม่เข้าใจว่าพระภิกษุคือใครและพระธรรมวินัยคืออะไร เพื่ออะไร เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้อย่างนี้ ก็ทำให้เข้าใจผิดว่า พระภิกษุ ทำได้ เช่น รับเงินรับทองได้ หรือว่า ในวัดก็มีเหมือนไม่ใช่เป็นที่อยู่ของผู้สงบเป็นต้นมากมายหลายเรื่อง เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดเริ่มให้เขาเข้าใจเรื่องใหญ่ๆ ให้ถูกต้อง ถึงจะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นเช่นกฎหมายหรืออะไรก็ตามแต่ ไม่สามารถที่จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ นอกจากเริ่มมีความเข้าใจถูก วลานี้ชาวพุทธไม่รู้เลยว่า พระภิกษุคือใคร เพราะฉะนั้น ก็คิดว่าพระภิกษุรับเงินรับทองได้แต่อย่ารับให้มาก เป็นต้น อย่างนี้ก็เท่ากับว่าไม่รู้จักพระภิกษุ บางคนก็คิดว่าต้องมีคนบวชมากๆ เพื่อที่จะดำรงพระพุทธศาสนา แต่บวชมากแล้วไม่เข้าใจพระธรรมวินัย การบวชนั้น จะมีประโยชน์อะไร นอกจากว่าทำลายพระศาสนาแล้วยังทำลายประเทศชาติด้วย ไม่ใช่แต่ทำลายพระธรรมวินัยอย่างเดียว เพราะเหตุว่า มีการก่อสร้างซึ่งไร้ประโยชน์เสียเงินเสียทองมากมาย

~ กิเลสมีมาก แล้วจะเอากิเลสออกไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีพระธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่จะนำกิเลสออก

~ พุทธบริษัททั้งหมด ศึกษาพระธรรมเข้าใจพระธรรม เห็นคุณของพระธรรม จึงเป็นพุทธบริษัท ถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษาเลย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของทุกคน จะยาวไกลสักเท่าไหร่ ก็คือ เพื่อดับกิเลส เพราะเห็นโทษของกิเล แต่ถ้าไม่ฟังพระธรรม ก็ไม่เห็นโทษ ไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร มีมากน้อยเพียงใด ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสะสมบารมีที่จะได้รู้ความจริงสามารถที่จะดับกิเลสได้

~ เป็นคนดี โดยไม่ต้องบวชก็ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าใครบวชแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้วเป็นคนดี ไม่ใช่เลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า การบวช ไม่ใช่ว่าจะง่าย

~ หน้าที่ของพุทธบริษัท ก็คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ถึงจะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ วิธีรักษาดำรงก็คือต้องเข้าใจคำสอน เมื่อเข้าใจแล้วก็เผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น

~ จะส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ไม่ศึกษา ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา นั่น ไม่ใช่การส่งเสริม แต่เป็นการทำลาย



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Dusita
วันที่ 25 ม.ค. 2563

กราบ ขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ และวิทยากร ทุกท่าน

..อนุโมทนาค่ะ..

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 25 ม.ค. 2563

... ขอบพระคุณ​ และขออนุโมทนา​ในกุศลจิต​ ของ​อ.คำปั่น​ ค่ะ..

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Khemsai
วันที่ 25 ม.ค. 2563

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 25 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
mammam929
วันที่ 25 ม.ค. 2563

กราบอนุโมทนาค่ะ

พระธรรมเกื้อกูลผู้ศึกษาคำจริงให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Tathata
วันที่ 26 ม.ค. 2563

~ เจ้าอาวาส บอกว่า (โยม) ถวายเงินเพียงนิดหน่อย น้อยไป อย่างนี้หรือจะเป็นผู้ที่รักษาพระธรรมวินัย

ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ รู้สึกว่าขัดข้องใจ นึกตำหนิบุคคลนี้ แล้วความคิดก็วนเวียนไปมาทั้งวันกับเรื่องนี้ เห็นโทสะเกิดดับ เกิดดับ มันเป็นธรรมที่เป็นอนัตตาจริงๆ ค่ะ

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ และอนุโมทนากับทีมงานบ้านธัมมะทุกท่านในจิตอันเป็นกุศล

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ