ภยสูตร ว่าด้วยผู้เป็นภัยและไม่เป็นภัย

 
khampan.a
วันที่  31 ม.ค. 2563
หมายเลข  31508
อ่าน  697

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๑

๑. ภยสูตร

ว่าด้วยผู้เป็นภัยและไม่เป็นภัย

[๔๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคฤหบดี พระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายในที่นั้นแล ด้วยพระพุทธพจน์ว่า ภิกฺขโว (แน่ะภิกษุทั้งหลาย) ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลขานรับต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคำว่า ภทนฺเต (พระพุทธเจ้าข้า) แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภัยอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ภัยทั้งปวงนั้นย่อมเกิดแต่คนพาล หาเกิดแต่บัณฑิตไม่ อุปัทวะ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อุปัทวะ ทั้งปวงนั้น ย่อมเกิดแต่คนพาล หาเกิดแต่บัณฑิตไม่ อุปสรรคอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อุปสรรคทั้งปวงนั้น ย่อมเกิดแต่คนพาล หาเกิดแต่บัณฑิตไม่.

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไฟลุกจากเรือนที่มุงบังด้วยต้นอ้อหรือจากเรือนที่มุงบังด้วยหญ้าแล้ว ย่อมไหม้กระทั่งเรือนยอดที่ฉาบปูนทั้งภายในทั้งภายนอกจนลมลอดไม่ได้ มีประตูอันลงกลอนสนิท มีหน้าต่างปิดได้ฉันใด

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภัย ... อุปัทวะ ... อุปสรรค อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ย่อมเกิดแต่คนพาล หาเกิดแต่บัณฑิตไม่ ฉันนั้น ดังนี้แล ภิกษุทั้งหลาย คนพาลมีภัย บัณฑิตไม่มีภัย คนพาลมีอุปัทวะ บัณฑิตไม่มีอุปัทวะ คนพาลมีอุปสรรค บัณฑิตไม่มีอุปสรรค ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภัย ... อุปัทวะ ... อุปสรรค แต่บัณฑิต หามีไม่

เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลาย พึงสำเหนียกในข้อนี้อย่างนี้ว่า บุคคลประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เหล่าใด พึงรู้ว่าเป็นพาล เราทั้งหลายจักละเสียซึ่งธรรม ๓ ประการนั้น บุคคลประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เหล่าใด พึงรู้ว่าเป็นบัณฑิต เราทั้งหลายจักถือธรรมนั้นประพฤติ ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล.

จบภยสูตรที่ ๑

อรรถกถาภยสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในภยสูตรที่ ๑ แห่งติกนิบาต ดังต่อไปนี้ :-

ในบทว่า ภยานิ เป็นต้น ความที่จิตสะดุ้งกลัว ชื่อว่า ภัย. อาการที่จิตไม่เป็นสมาธิ ชื่อว่า อุปัทวะ. อาการที่จิตติดขัด คืออาการที่จิตข้องอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ชื่อว่า อุปสรรค.

พึงทราบความแตกต่างกันแห่งภัย อุปัทวะ และอุปสรรค เหล่านั้นดังต่อไปนี้

พวกโจรอาศัยอยู่ตามภูเขาและถิ่นทุรกันดาร ส่งข่าวไปถึงชาวชนบทว่า พวกเราจักเข้าปล้นหมู่บ้านของพวกท่านในวันโน้น ตั้งแต่เวลาที่ได้สดับข่าวนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นก็พากันหวาดกลัว. อาการอย่างนี้ ชื่อว่า อาการที่จิตสะดุ้งกลัว.

ชาวชนบทก็พากันคิดว่า ทำอย่างไรดีเล่า พวกโจรโกรธพวกเราแล้วจะพึงนำความพินาศมาให้เราเป็นแน่ ดังนี้แล้ว ฉวยคว้าทรัพย์สมบัติที่พอหยิบฉวยติดมือไปได้ เข้าป่าพร้อมกับฝูงสัตว์ ๒ เท้าและ ๔ เท้า นอนตามพื้นดินอยู่ในป่านั้นๆ ถูกแมลงมีเหลือบและยุงเป็นต้นกัด ก็พากันหลบเข้าไปยังระหว่างพุ่มไม้ เหยียบตอไม้และหนาม. ความฟุ้งซ่านของชาวชนบทเหล่านั้นผู้ท่องเที่ยวไปอยู่อย่างนั้น ชื่อว่า อาการที่จิตไม่เป็นสมาธิ.

หลังจากนั้น เมื่อพวกโจรไม่มาตามวันที่ได้บอกไว้ ชาวชนบทก็คิดกันว่า ชะรอยจักเป็นข่าวลวง พวกเราจักกลับเข้าหมู่บ้าน ดังนี้แล้ว พากันขนข้าวของกลับเข้าหมู่บ้าน. ครั้งนั้น พวกโจรทราบว่า ชาวชนบทเหล่านั้นพากันกลับเข้าหมู่บ้านแล้ว จึงพากันมาล้อมหมู่บ้านไว้ จุดไฟเผาที่ประตูสังหารผู้คนจำนวนมาก ปล้นเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป. บรรดาชาวชนบทเหล่านั้น พวกที่เหลือจากถูกโจรสังหาร ก็พากันดับไฟ แล้วนั่งจับเจ่าอยู่ในที่นั้นๆ มีร่มเงาซุ้มประตู และเงาฝาเรือนเป็นต้น หวนโศกเศร้าถึงสิ่งที่สูญเสียไป. อาการที่จิตข้องอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า อาการที่จิตเกี่ยวข้องอยู่ในอารมณ์นั้น .

บทว่า นฬาคารา ได้แก่ เรือนที่มุงและบังด้วยไม้อ้อ ส่วนเครื่องเรือนที่เหลือในเรือนไม้อ้อนี้ ทำจากไม้. แม้ในเรือนหญ้าก็มีนัย นี้แล.

บทว่า กูฏาคารานิ ได้แก่ เรือนที่ยกยอด.

บทว่า อุลฺลิตฺตาวลิตฺตานิ ได้แก่ ฉาบทั้งข้างในและข้างนอก.

บทว่า นิวาตานิ ได้แก่ ลมเข้าไปไม่ได้.

บทว่า ผุสิตคฺคฬานิ ได้แก่ บานประตูที่ติดเข้าสนิทที่กรอบเช็ดหน้า เพราะเป็นของที่นายช่างผู้ฉลาดทำไว้.

บทว่า ปิหิตกวาฏานิ ได้แก่ ติดบานประตูแล้ว. ด้วยสองบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ตรัสหมายถึงบานประตูและหน้าต่างที่ปิดไว้ประจำ แต่ตรัสคุณสมบัติเท่านั้น. ก็บานประตูและหน้าต่างเหล่านั้นย่อมปิดและเปิดได้ทุกขณะที่ต้องการ.

บทว่า พาลโต อุปฺปชฺชนฺติ ความว่า อุปสรรคทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยคนพาลทั้งนั้น. เป็นความจริง คนที่ไม่เป็นบัณฑิต เป็นพาล เมื่อปรารถนาความเป็นพระราชา ความเป็นอุปราช หรือปรารถนาตำแหน่งใหญ่อย่างอื่น ก็จะชักชวนเอาลูกกำพร้าพ่อ ผู้โง่เง่าเหมือนตน จำนวนเล็กน้อยแล้วเกลี้ยกล่อมว่า มาเถิดเธอทั้งหลาย ฉันจักทำพวกเธอให้เป็นใหญ่ ซ่องสุมอยู่ตามภูเขาและป่าทึบเป็นต้น แล้วบุกเข้าที่หมู่บ้านแถวชายแดน ทำหมู่บ้านให้เสียหายแล้ว ตีทั้งนิคม ทั้งชนบทตามลำดับ.

ผู้คนปรารถนาสถานที่ๆ ปลอดภัย จึงพากันทิ้งบ้านเรือนหลีกหนีไป.ทั้งภิกษุ ภิกษุณี ที่อาศัยคนเหล่านั้นอยู่ ก็พากันละทิ้งสถานที่อยู่ของตนๆ หลีกไป. ในสถานที่ที่ท่านเหล่านั้นไปแล้ว ทั้งภิกษา ทั้งเสนาสนะก็หาได้ยาก. ภัยย่อมมาถึงบริษัททั้ง ๔ อย่างนี้แล.

แม้ในบรรพชิตทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นพาล ๒ รูป วิวาทกันแล้วต่างเริ่มโจทกันและกัน จึงเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้น เหมือนพวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ฉะนั้น. ภัยย่อมมาถึงบริษัท ๔ เหมือนกัน ก็ภัยเหล่าใดเกิดขึ้นดังว่ามานี้ ภัยเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นมาจากคนพาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังเทศนาให้จบลงตามอนุสนธิ ดังว่ามานี้แล.

จบอรรถกถาภยสูตรที่ ๑


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 29 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ