ดำรงพระสัทธรรม ด้วยปัญญา ... ไปสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน วันอังคารที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันนี้ วันอังคารที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ มีสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน ช่วงเวลา ๑๔.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. ซึ่งเป็นโอกาสดีทุกครั้งที่มีโอกาสได้ฟังคำจริง ที่จะทำให้ค่อยๆ ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาความเป็นผู้โง่เขลาไปทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะการสนทนาในวันนี้ได้กล่าวถึงพระสัทธรรม อะไรที่ทำลายพระสัทธรรมทำให้พระสัทธรรมลบเลือนเสื่อมสูญ และอะไรจะเป็นสิ่งที่ดำรงพระสัทธรรมไว้ได้ ซึ่งควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
พระสัทธรรม เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อความสงบจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนำไปสู่การที่จะดับกิเลสให้ถึงความเป็นผู้สงบอย่างแท้จริง ทรงแสดงหลายนัย ทั้งโดยนัยที่เป็นปริยัติสัทธรรม ปฏิบัติสัทธรรม อธิคมสัทธรรมหรือปฏิเวธสัทธรรม ทั้งโดยนัยที่เป็นธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นต้น ซึ่งไม่พ้นไปจากคำสอนที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงแสดงแก่สัตว์โลก ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ประโยชน์อยู่ที่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาเป็นสำคัญ
ถ้าไม่ได้ศึกษาพระสัทธรรม ความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมเกิดไม่ได้ เมื่อไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ย่อมทำให้เป็นผู้มีความเห็นผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เมื่อเห็นผิด การปฏิบัติก็ผิด ผิดคนเดียวยังไม่พอ ยังอาจเผยแพร่ความเห็นผิดให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย ซึ่งเป็นอันตรายมากทั้งแก่ตัวผู้เผยแพร่และแก่ผู้อื่น เป็นเหตุให้พระสัทธรรมเสื่อมเร็วขึ้น ดำรงอยู่ได้ไม่นาน แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าพุทธบริษัทศึกษาพระธรรม ด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อมีความเห็นถูก กาย วาจา ใจ ก็จะเป็นไปในทางที่ถูกยิ่งขึ้น และสามารถกล่าวความจริงเกื้อกูลบุคคลอื่นให้ตั้งอยู่ในความเห็นถูกด้วย ผู้ที่ได้รับการเกื้อกูลก็จะค่อยๆ ได้เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปทีละเล็กทีละน้อย ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ พระพุทธศาสนา หรือ พระสัทธรรม ก็สืบทอดต่อไปได้ ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ก็เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้องของพุทธบริษัท
ในการสนทนาธรรมวันนี้ อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ได้นำคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาเปิดให้ทุกๆ ท่านได้รับฟัง ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง จึงขอโอกาสถอดคำสนทนาในช่วงดังกล่าวประมวลมาให้ทุกๆ ท่านได้อ่านได้พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ดังต่อไปนี้
สุจินต์ ถ้าไม่มีคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ใครจะรู้ ต่างคนก็ต่างคิด รู้สึกตัวเหมือนกับว่าศีลดีขึ้น แต่ถ้าไปอยู่ที่สำนักปฏิบัติศีลจะยิ่งดีขึ้น เข้าใจว่าอย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่าศีลคืออะไร?
อรรณพ แล้วศีล คืออะไร โดยสั้นๆ
สุจินต์ รูป มีศีลไหม?
อรรณพ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่มีศีล โต๊ะเก้าอี้ไม่มีศีล
สุจินต์ เสียง เป็นศีลได้ไหม?
อรรณพ เสียง เป็นศีลไม่ได้
สุจินต์ ศีล คือ ปกติ ปกติของธาตุรู้ ธาตุรู้คือจิตและเจตสิก เมื่อเกิดขึ้นหลากหลายมาก ถึงอย่างนั้นก็ตามเกิดร่วมกันแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยทั้งหมดทั้งจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกัน จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีลักษณะของเจตสิกใดๆ ปรากฏ จิตเป็นปัณฑระ จิตคือธาตุรู้ล้วนๆ เมื่อไม่ได้กล่าวถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แต่ขณะใดก็ตามที่เจตสิกฝ่ายที่ไม่ดีงามคืออกุศลเกิดขึ้น เป็นปกติไหม? มีใครไปทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า อยากทำให้เกิดขึ้นไหมสิ่งที่ไม่ดีๆ แต่ก็เกิดแล้วเพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น นี่คือปกติ ถ้าไม่มีจิตและเจตสิกจะมีศีลไหม ศีลก็ได้แก่จิตและเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติ แล้วแต่ว่าจิตขณะนั้นเป็นอะไร ถ้าเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลศีล ถ้าเป็นกุศลก็เป็นกุศลศีล ถ้าไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศลก็เป็นอัพยากตศีล ก็เป็นเรื่องของจิตเจตสิก ว่าง่ายหรือยัง?
อรรณพ ประโยชน์ของการไปปฏิบัติ ไปสำนัก เขาบอกว่าอย่างน้อยก็ทำให้เบื้องต้นเขาดีขึ้น เช่น ไม่ฆ่าสัตว์
สุจินต์ อยู่ที่บ้านไม่ต้องไปสำนักปฏิบัติ ก็ไม่ฆ่า ไม่ใช่หรือ? เพราะว่ายาก ว่ายากนี้ไม่ไกลเลย ขณะไหนที่ไม่เข้าใจแล้วก็ฝืนที่จะให้ตรงกันข้ามกับความจริง ขณะนั้นว่ายาก ทั้งๆ ที่ฟังอย่างนี้ว่าธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา แล้ว ศีล คือ ปกติของจิตและเจตสิก ว่าง่ายหรือยัง เข้าใจหรือยัง ว่า เมื่อไหร่ที่จิตเจตสิกเกิดขึ้น ก็คือ ความเป็นปกติที่จะเป็นกุศล หรือจะเป็นอกุศลหรือจะเป็นอัพยากตะ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ผิดปกติเปลี่ยนแปลงได้เลย อกุศลก็ต้องเป็นอกุศล
อรรณพ ถ้ามีปัญญา ก็จะว่าง่ายจากการฟังพระธรรม
สุจินต์ ปัญญาคือความเห็นถูกต้อง ฟังแล้วเข้าใจถูกในสิ่งที่ฟัง ความเข้าใจถูกก็คือปัญญา เป็นศีลหรือเปล่า? ถ้าคิดว่าตัวเองไปมีศีลในที่หนึ่งที่ใดมากเลย นอกจาก ๕ ข้อ เป็น ๘ ข้อหรืออาจจะ ๑๐ ข้อหรืออะไรก็แล้วแต่ ว่ายากไหม เพราะไม่รู้อะไรเลย พระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่งก็ไม่สนใจที่จะศึกษาให้เข้าใจ คิดเอง พูดเอง บอกใครๆ เองว่า เวลาไป (สำนักปฏิบัติ) แล้วมีศีลเพิ่มขึ้น เพราะไม่รู้จักศีล ศีลอะไรเพิ่มขึ้น? อกุศลศีลที่ประกอบด้วยความเห็นผิด จริงหรือเปล่า? จริงหรือเปล่านี่คือคำตอบว่า ว่ายากหรือว่าง่าย ก็เพิ่มสีลัพพตปรามาส คือ การเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ไม่ถูก เป็นสิ่งที่ถูก
อรรณพ ความเป็นผู้ว่ายาก แล้วก็ธรรมที่ทำให้ว่ายาก ใน อนุมานสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ แสดงไว้ถึง ๑๖ ข้อ
สุจินต์ นี่คือ ประโยชน์ของการฟังธรรม คนที่คิดว่าอย่างนั้นถูก ก็คิดว่า ถูก เพราะว่ามีความเห็นผิด การสนทนาธรรม จะทำให้เข้าใจว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด
อรรณพ ยกตัวอย่างข้อแรกกับข้อสุดท้าย ข้อแรก ก็คือ เป็นผู้ที่มีโลภะจัด
สุจินต์ เป็นผู้ที่ต้องการจะรู้แจ้งอริยสัจจ์ โดยที่ว่าไม่มีปัญญา นั่นก็ว่ายาก
อรรณพ ข้อ ๑๖ ข้อสุดท้ายยิ่งเห็นชัด ก็คือ “ดูกร ท่านผู้มีอายุ อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ถือแต่ความเห็นของตน ดื้อรั้น ถอนได้ยาก” คือ จะพูดอย่างไรก็ตาม ท่านก็ยังยึดในความเห็นของท่านว่าท่านต้องไปสำนักปฏิบัติ
สุจินต์ แล้วรู้ไหมว่าไปแล้วจิตขณะนั้นเป็นอะไร ถ้าไม่สนใจ เขาก็เป็นคนที่ว่ายาก
อรรณพ บางคนอาจจะบอกว่าไม่ฟัง เพราะไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า เป็นคำพระสาวก
สุจินต์ ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจะฟังคำของท่านพระสารีบุตรไหม ตอนที่ท่านยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ท่านฟังใคร? พระมหาโมคคัลลานะฟังคำของพระใครจึงเป็นพระโสดาบัน? ฟังคำของท่านพระสารีบุตร แล้วจะบอกว่าไม่ใช่พระพุทธพจน์หรือ แล้วไปสำนักปฏิบัติรู้อะไร
อรรณพ ก็รู้แบบของเขา
สุจินต์ รู้แบบของเขา ก็คือว่า ไม่ใช่แบบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อรรณพ รู้ว่าเป็นโอกาสจะได้มีศีลเพิ่มขึ้น จากศีล ๕ เป็นศีล ๘
สุจินต์ แล้วศีลธรรมดา โดยไม่ต้องไปที่นั่น ก็มีได้มิใช่หรือ แล้วไปทำไม
อรรณพ ไปเพราะเป็นผู้มีความว่ายาก
สุจินต์ จะอยู่ที่ไหน เห็นก็เป็นเห็น ไม่ว่าจะเรียกว่าสำนักปฏิบัติหรือนอกสำนักปฏิบัติหรือที่หนึ่งที่ใด เห็นก็ต้องเป็นเห็นทั้งหมด เมื่อไหร่ที่สามารถจะเริ่มเข้าใจถูกต้องโดยการฟังพระธรรมไตร่ตรองจริงๆ ว่า ทุกคำนำมาสู่การที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่เพราะเหตุว่าความจริงเดี๋ยวนี้รู้ยากมาก เห็นกันมานานไม่ว่าจะอยู่ข้างนอกห้องนี้หรืออยู่ในที่นี้ก็ตามแต่ เห็นก็ยังเป็นเห็น ก็ยังไม่รู้ กี่ครั้งกี่คราก็ยังไม่รู้ แต่รู้ได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่เราไปพยายาม แต่เมื่อค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้นว่ามีจริงๆ แต่ว่ากิเลสที่สะสมมามหาศาล ย่อมมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นมากมาย ไม่รู้ตรงที่เห็นสักที ถูกต้องไหม เพราะอะไรทำให้ไม่รู้เห็นที่กำลังเห็น เพราะว่าสะสมความไม่รู้และกิเลสมากมายประมาณไม่ได้เลย ถ้าจะเป็นวัตถุก็เกินกว่าจักรวาลที่จะบรรจุได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแล้วทันทีทันใดที่ได้ฟังอย่างนี้แล้วสามารถที่เห็นการเกิดดับของเห็นได้หรือ เมื่อรู้อย่างนี้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อปัญญาถึงเวลาที่จะรู้ความจริงใครก็ยับยั้งไม่ได้ ท่านพระสารีบุตรยับยั้งไม่ได้ที่จะไม่ให้เมื่อได้ฟังคำของท่านพระอัสสชิแล้วประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของเห็น ซึ่งขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้นแต่รู้ไม่ได้ เพราะปัญญายังไม่พอ
เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นละคลายอกุศลซึ่งสะสมมามาก คงไม่ลืมว่า จิตเน่า จิตเหม็น จิตสกปรก จิตเป็นโรค สารพัดอย่างที่ไม่ดีมากมายมหาศาล แล้วก็เมื่อไหร่ที่ปัญญาเกิดขึ้น เมื่อนั้นแหละที่จะค่อยๆ ละแล้วก็คลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรม แล้วมากมายอย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่จะละ ก็ต้องเป็นผู้นั้นเองที่รู้ว่าเข้าใจไหม เข้าใจว่าปัญญารู้อะไร ปัญญารู้สิ่งที่มีจริงตามปกติ ถ้าไม่ใช่ปัญญาเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่หลงว่าเป็นปัญญา ไม่ได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงเริ่มเข้าใจคำที่ว่าในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญญาประเสริฐสุด แม้ว่าอกุศลที่สะสมมามาก แต่ปัญญาที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นเพิ่มขึ้น ก็มีกำลังจนสามารถดับอกุศลได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ว่าง่าย ว่า ไม่มีหนทางอื่นนอกจากความเข้าใจจากการฟังพระธรรม กิเลสมาก เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องนั้นเดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องนี้ในขณะที่กำลังฟัง ฟังจบแล้วก็ยิ่งคิดถึงเรื่องอื่นที่ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส เรื่องราวต่างๆ มากมาย จึงอาศัยพระธรรม ๔๕ พรรษาทั้งหมดโดยประการทั้งปวง เพื่อค่อยๆ น้อมจิตมาสู่การที่จะรู้ว่าความจริงก็คือว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเลย จากไม่มีแล้วมีแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย โลกว่างเปล่า เข้าใจว่ามีใครอยู่ที่นี่ ความจริงไม่มี มีแต่ธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือปัญญาซึ่งถ้าไม่รู้จริงอย่างนี้ไม่สามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่งทีละหนึ่งจึงสามารถที่จะรู้จริงรู้ชัดได้ เพราะว่า ขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับนับไม่ถ้วนจริงๆ อยู่ในความมืดหมด พูดถึงผัสสเจตสิก เข้าใจใช่ไหม? อยู่ไหนเวลานี้ อยู่ในความมืด ไม่ได้มีสติสัมปชัญญะที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กล่าวถึงทั้งหมดที่เป็นปริยัติ แต่รู้ว่ามีแน่ๆ ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี ริษยาก็มี มานะความสำคัญตนก็มี กุศลก็มี ฉันทะก็มี มีทุกอย่างแต่ไม่รู้จริงสักอย่าง เพราะว่าเกิดแล้วดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ อาศัยความอดทนซึ่งเป็นบารมีขันติบารมี สัจจะบารมีความจริงใจต่อการที่จะเข้าใจสิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มีจะไปรู้ได้อย่างไร แล้วจะไปรู้ทำไม แต่สิ่งนี้กำลังมีใช่ไหม เห็นก็กำลังเห็น คิดก็กำลังคิดหลังจากที่เห็นแล้วรู้ว่าเป็นอะไร (คิด) ก็จริง ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่เป็นการที่จะฟังพระธรรมด้วยความเป็นผู้ที่ว่าง่าย
อรรณพ สรุป ก็คือ พระศาสนาเสื่อม เพราะ ว่ายาก ที่จะไปสำนัก (ปฏิบัติ)
การที่จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง มีหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ไม่ใช่ไปทำอะไรตามๆ กันด้วยความไม่รู้ ดังนั้น การฟังพระธรรมจึงเป็นเหตุให้ความเข้าใจเจริญขึ้น เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ทั้งผู้ที่เป็นบรรพชิต และ คฤหัสถ์ ล้วนเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ทั้งนั้น จึงเป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้น จนสามารถดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ จึงควรอย่างยิ่งที่จะน้อมน้อมประพฤติตามความประพฤติเป็นไปของพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต นั่นก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กราบขอบพระคุณท่าคำปั่น อักษรวิลัย ผู้มีเมตตากรุณาต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอน้อมนำคำสอนนี้มาเก็บไว้ในหทัยครับผม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ
- สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. บริจาคระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกไต และเครื่องฟอกไต แก่โรงพยาบาลในจังหวัดลำพูน
- สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.บริจาคสิ่งของและเลี้ยงอาหาร ณ โรงเรียนบ้านสกาดใต้ อ.ปัว จ.น่าน
- อกุศลที่บางเบา_ไปสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน วันพฤหัสบดีที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
- คุณของพระธรรม _ ไปสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓