อกุศลที่บางเบา_ไปสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน วันพฤหัสบดีที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันนี้ วันพฤหัสบดีที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ มีสนทนาธรรม ที่บ้านธัมมะ ลำพูน ต่ออีกครึ่งวัน ตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๒.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่งที่จะได้สนทนาเพื่อความเข้าใจความเป็นจริงของธรรมตรงตามความเป็นจริง การมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดก็ตาม ก็เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาแต่ไม่เป็นอิสระ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งใครๆ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่อกุศลที่เกิดขึ้นเป็นไป ก็มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา อกุศลที่เกิดขึ้นชนิดที่บางเบา ไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ คือ อาสวะ ก็มีจริง ยากที่จะรู้ได้ จึงต้องได้อาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น
อกุศล ที่เป็นอาสวะ เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งก็มีจริงในชีวิตประจำวัน แต่เราก็ไม่รู้เลยว่าติดข้องแล้วในขณะนั้น หลังเห็น หลังได้ยิน เป็นต้น นี้คือ ลักษณะของอาสวะที่ ๑ คือ กามาสวะ
อาสวะที่ ๒ คือ ภวาสวะ เป็นความติดข้องยินดีพอใจในภพ ในขันธ์ ในความมีความเป็น พระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่มีความติดข้องในภพ แม้พระอนาคามียังมีความติดข้องในขันธ์ที่ท่านเกิด ในความมีความเป็นของท่านที่เกิดขึ้นมา ขณะที่มีความเห็นผิดเกิดขึ้น ก็เป็นทิฏฐาสวะ ซึ่งเป็นอาสวะที่ ๓ และที่ร้ายไปกว่านั้น เป็นไปด้วยความไม่รู้ เป็นอาสวะ ที่ ๔ คือ อวิชชาสวะ ทั้ง ๔ ประการนี้ ไม่ใช่ให้นับจำนวน แต่ เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่ควรรู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา และเป็นสิ่งจะต้องละได้ด้วยปัญญา บุคคลที่จะละอาสวะได้ทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ก็จะต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์เป็นผู้ที่สิ้นอาสวะแล้ว ชื่อหนึ่งของพระอรหันต์ คือ พระขีณาสพ หมายถึง ผู้มีอาสวะสิ้นไปแล้ว หรือ ผู้สิ้นอาสวะ แต่กว่าจะไปถึงการเป็นพระอรหันต์ ก็จะต้องมีการดับอาสวะเป็นขั้นๆ กล่าวคือ ทิฏฐาสวะ พระโสดาบัน ดับได้ ความติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งเป็นกามาสวะ พระอนาคามี ดับได้ ส่วน ภวาสวะ กับ อวิชชาสวะ พระอรหันต์ดับได้
แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องยากจริงๆ กว่าจะดับอกุศลธรรมเหล่านี้ได้ ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมปัญญาไป การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เท่านั้นที่จะเป็นเหตุให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ
ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงทุกขณะ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน ถ้าได้ศึกษาพระธรรมแล้วเข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรมในชีวิตจริงๆ ว่าเป็นเพียงธรรมแต่ละหนึ่งๆ ก็จะเริ่มเห็นว่าสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น เป็นความจริงทุกกาลสมัยที่สามารถจะเข้าใจตามความเป็นจริงได้
ในการสนทนาวันนี้ ก็มีหลากหลายเนื้อหาสาระมาก เป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ โดยเฉพาะประเด็นคำถามที่อาจารย์ชุมพร ตันตยานนท์กุล วิทยากรประจำที่บ้านธัมมะ ลำพูน ได้ถาม ว่า มานะ (ความสำคัญตน) เวลาเกิดก็เกิดกับโลภะ แต่เพราะเหตุใดมานะจึงไม่เป็นอกุศลที่บางเบา คือ อาสวะ ซึ่งอาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ก็ได้กล่าวความจริง แสดงเหตุผลตามพระธรรม เป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จึงขอโอกาสถอดคำสนทนาในช่วงดังกล่าวประมวลมาให้ทุกท่านได้อ่านได้พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ดังนี้ .-
ชุมพร เพราะเหตุใดมานะจึงไม่เป็นอาสวะ ไม่เป็นสภาพธรรมที่บางเบา
อรรณพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่าง โดยนัยต่างๆ เพื่อให้เข้าใจความเป็นธรรมแต่ละอย่าง ธรรมแต่ละอย่าง ก็เป็นแต่ละอย่างจริงๆ มานะ ก็อย่างหนึ่ง โลภะ ก็อย่างหนึ่ง ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ก็อย่างหนึ่ง แม้ว่า มานะเขาเกิดกับโลภะ ทิฏฐิก็เกิดกับโลภะ แต่มานะกับทิฏฐิ ก็คนละอย่าง ทีนี้ประเด็นที่ว่าทำไมท่านจึงไม่แสดงมานเจตสิก ว่า เป็นอาสวะ ถ้าเราเข้าใจว่าทำไมท่านแสดงโลภะเป็นอาสวะ ๒ (คือความติดข้องในกาม และ ความติดข้องในภพ) แสดงทิฏฐิ ว่า เป็นเป็นทิฏฐาสวะ แล้วก็แสดงโมหะว่าเป็นอวิชชาสวะ เพราะระดับของเจตสิกทั้ง ๓ นี้ มีตั้งแต่บางเบาจนไปถึงมีกำลังมาก ส่วน มานะเป็นความถือตัวถือตน เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้มีความละเอียดขนาดบางเบาที่จะเหมือนกับโลภะ ถึงแม้ว่าถ้าเป็นมานะที่ละเอียด ก็มี คือมานะในระดับที่อรหัตตมรรคจะดับได้ พระอนาคามีก็ยังมีมานะ เพราะฉะนั้น มานะของพระอนาคามี ก็ต้องละเอียด ไม่หยาบเหมือนกับมานะของปุถุชน เพราะปุถุชน ก็จะมีความสำคัญตนผิด ก็มี ไม่ได้รู้อะไรแต่ก็คิดว่าตนเองรู้คิดว่าตัวเองเก่งในเรื่องต่างๆ เรื่องราวทางโลกเขาก็คิดว่าเขาเก่ง บางทีเขาไม่รู้อะไร ก็ยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเขา อันนี้ก็เห็นชัด ทีนี้ทำไมจึงไม่แสดงมานะว่าเป็นกิเลสที่บางเบา เพราะลักษณะเขาไม่เหมือนโลภะที่มีจนบางเบาที่เป็นอาสวะ เพราะว่า เมื่อมานะเกิดขึ้น ก็มีความกระด้าง มานะเป็นความกระด้าง ลักษณะของเขากระด้าง ที่ถือตัว ซึ่งมานะที่ละเอียด มี แต่มานะที่ละเอียดพระองค์ก็ไม่ทรงแสดงว่าเป็นอาสวะ เพราะลักษณะของมานะเป็นความกระด้าง คนเราเวลามีความสำคัญตนกระด้างไหม? กระด้าง แต่ระดับของความกระด้าง ก็มีหลายระดับ แต่ถ้ากระด้าง ก็ไม่บางเบาเหมือนโทสะ โทสะก็มีทั้งที่มีกำลังมากกับมีกำลังน้อย ทำไมไม่พูดถึงโทสะที่มีกำลังน้อยๆ ว่าเป็นอาสวะ เพราะลักษณะของโทสะ ก็เป็นลักษณะที่กระทบกระทั่ง คือ ตัวลักษณะของเขากระทบกระทั่ง โทสเจตสิก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่ทรงแสดงว่าเป็นอาสวะ ทั้งที่โทสะที่เบาๆ โทสะที่อ่อนๆ ก็มี แต่ก็ไม่ทรงแสดง ว่า เป็นอาสวะ เพราะลักษณะของโทสะเขากระทบกระทั่งขุ่นเคือง จะเล็กจะน้อย ลักษณะเขาเป็นอย่างนั้น มานะเขาก็มีความกระด้าง คนที่มีความสำคัญตน กระด้าง เพราะฉะนั้น ถึงมานะนั้น ก็เปรียบเทียบคล้ายๆ กับโทสะ คือ ลักษณะเขากระด้างเหมือนโทสะที่กระทบกระทั่ง เพราะฉะนั้น มานะ แม้ว่าเขาจะมีระดับที่มีกำลังมากหรือกำลังน้อย แต่โดยสภาพโดยลักษณะเขา กระด้าง จึงไม่ทรงแสดงว่าเป็นอาสวะ
ขอเชิญฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพิ่มเติม ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
รักษาจิตในอาสวะ
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่ให้โอกาสวิทยากร มศพ. มาให้ความรู้และสนทนาธรรม ที่บ้านธัมมะ ลำพูน ได้มาถ่ายทอดคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราได้ฟัง ฟังจนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ
ขอบพระคุณและอนุโมทนายิ่ง ครับ
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านธัมมะลำพูน อ.เมือง จ.ลำพูน ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ [สำเนาจากกระทู้ต้นฉบับ]
- ชมรมบ้านธัมมะภาคเหนือ โดยคุณสุเชาวน์ หอธรรมคุณ และคณะ มอบสิ่งของแก่ชุมชน ในจังหวัดลำพูน
- สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. บริจาคระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกไต และเครื่องฟอกไต แก่โรงพยาบาลในจังหวัดลำพูน
- สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.บริจาคสิ่งของและเลี้ยงอาหาร ณ โรงเรียนบ้านสกาดใต้ อ.ปัว จ.น่าน