สารธรรมใต้ต้นสาละ_ คณะวิทยากรสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรม
ที่บ้านท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม
แก่งกระจานคันทรีคลับ จ.เพชรบุรี
วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
คณะวิทยากรสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ใต้ต้นสาละ ที่กำลังเผล็ดดอก
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าสาละใหญ่ ใกล้บ้านหรือนิคม และป่านั้นดาดาดไปด้วยต้นละหุ่ง ชายคนหนึ่ง เล็งเห็นประโยชน์และคุณภาพของต้นสาละนั้น ใคร่จะทำให้ต้นสาละนั้นปลอดภัย เขาจึงตัดต้นสาละเล็กๆ ที่คดและถางต้นละหุ่งอันคอยแย่งโอชาของต้นสาละนั้นออก นำไปทิ้งในภายนอกเสียสิ้น ทำภายในป่าให้สะอาดเรียบร้อย แล้ว คอยรักษาต้นสาละเล็กๆ ต้นตรงที่แข็งแรงดี โดยถูกต้องวิธีการ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยการกระทำดังที่กล่าวมานี้แหละ กาลต่อมา ป่าสาละนั้นก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ขึ้นโดยลำดับ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำความพากเพียรอยู่แต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเถิด เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอ ก็จะถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ในพระธรรมวินัยนี้ถ่ายเดียว"
(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ กกจูปมสูตร)
~ ทุกคน ก็เป็นต้นสาละ เพราะฉะนั้น วัชพืช ก็คือ อกุศล ซึ่งจะเบียดเบียนทำให้กุศลธรรมเจริญช้ามาก ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการที่จะศึกษาพระธรรมซึ่งลึกซึ้งละเอียดยากที่จะรู้ได้ต้องเคารพจริงๆ ในแต่ละคำ เพราะว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากกว่าจะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะได้ตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ฟัง มาจากการตรัสรู้ ซึ่งถ้าได้ฟังและเข้าใจจากคำของพระองค์ ก็จะทำให้ปัญญาของเรา (ต้นสาละต้นหนึ่ง) ซึ่งค่อยๆ จะเจริญขึ้น แต่ต้องระวังอกุศล เพราะว่า อกุศลจะเบียดเบียน เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่คำสอน ก็จะค่อยๆ ทำลายการเติบโตของต้นสาละ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการที่จะให้วัชพืชลดน้อยลงไปต้นสาละก็เจริญขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่จะทำให้ต้นสาละถึงกับตายลง เพราะไม่ได้รับการดูแลเลย ไม่มีการปราบวัชพืช ต้นสาละซึ่งพยายามที่จะเติบโตก็ต้องแพ้พวกวัชพืช เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าได้เติบโตมาบ้างแต่ไม่เป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่งที่จะดูแลสาละคือแต่ละคนๆ ให้ค่อยๆ ลดอกุศลลงในที่สุดก็อันตรธานไป เพราะความเข้าใจผิดในพระธรรมได้
~ อกุศล ฉลาด แต่ไม่ใช่ปัญญา แค่ฉลาดที่จะเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้อกุศลอื่นๆ พลอยเกิดตามไปด้วยมากมายมหาศาลโดยวิธีการต่างๆ ของอกุศลซึ่งมีอวิชชาเป็นมูล เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการเข้าใจคำของพระองค์แต่ละคำ เมื่อนั้นไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ความจริง
~ หนทาง คือ การอบรมปัญญา หนทางเดียวจริงๆ ที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้
~ เกิดมาทำไม? เกิดมาสนุก มีความสุขแล้วก็ตายไป ชาติก่อนก็เป็นอย่างนี้ แล้วอยู่ไหน ลืมหมด ชาตินี้ก็เป็นอย่างนี้แล้วก็ลืมหมดแล้วเกิดมาเพื่อลืม แต่ก่อนลืมก็สนุกสนานแล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย ความสุขสำราญใจสบายใจก็ไม่ได้ติดตามไปเลย แล้วอะไรติดตามไป วัชพืชคืออกุศลก็ไปสะสมอยู่ในจิต เป็นแผลเน่าสารพัดอย่าง เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นอย่างนี้ ถ้าใครได้เข้าใจแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นประโยชน์ให้เขาเห็นค่า แล้วจะติดตามฟังต่อไปอีก แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นอีก ไม่หลงทาง
~ เราเกิดมาแล้ว เราศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจ แล้วในขณะเดียวกันที่เข้าใจแล้วควรที่จะให้คนอื่นซึ่งยากแสนยากที่จะเข้าใจธรรมได้เริ่มเข้าใจเป็นปัญญาของตัวเอง ด้วย จะเอาปัญญาของใครมาให้ใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น (นอกจากกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น)
~ ถ้าเข้าใจคำว่าธรรม (สิ่งที่มีจริง) ถึงความเป็นพระอรหันต์แน่นอน คำว่า แน่นอน นั้น ไม่ใช่วันนี้ที่เข้าใจเพียงคำว่าธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ไม่มีทาง เกิดมาก็ตายไปเหมือนนกเหมือนปลวก
~ ทุกคนเกิดมา ก็มีกิเลส แต่ว่ามีการสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของการที่ไม่เกิดมาเปล่าเป็นมดเป็นปลวกแล้วก็ตายไป แต่มีโอกาสได้ฟังสิ่งมีค่าที่สุดคือพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งขณะนี้พระธรรมยังไม่อันตรธานไป
~ วิทยากร ก็ยังมีกิเลส แต่ว่าก็มีความเคารพในพระรัตนตรัย ศึกษาพระธรรมด้วยความรอบคอบเห็นความลึกซึ้งแล้วก็มีความเป็นมิตรที่ดีกับทุกคนไม่เลือกหน้าเลย ถ้าเขาต้องการที่จะเข้าใจธรรม วิทยากรก็พร้อม เราถึงได้มีมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ร่วมแรงร่วมใจทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและแก่คนอื่นที่จะได้ฟังพระธรรมสืบต่อไป
~ ศึกษาพระธรรม เพื่ออะไร? เพื่อรู้ความจริง เพื่อละกิเลส อยู่ตรงนี้เลยทั้งหมด ทุกคำ ฟังทำไม เพื่อละกิเลส โดยการที่เข้าใจความจริงซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรดับไปแล้วไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ในอนาคตจะรู้ได้อย่างไร เพราะยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น ความรู้ทั้งหมด ต้องอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ทุกคำนี่แหละ เป็นธรรมจริงๆ ลึกซึ้ง ไม่ใช่เรา ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดแล้วต้องดับ แล้วเราจะอยู่ตรงไหนได้ นอกจากธรรมทั้งหมด ธรรมล้วนๆ เกิดขึ้นตามปัจจัยแล้วดับไป ไม่มีวันถอยกลับเลย ย้อนกลับไม่ได้เลย แล้วไม่มีวันจบสิ้นด้วย ไม่มีทางที่จะเป็นเราด้วย ก็ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้
~ จะไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ไม่เข้าใจพระธรรม เผยแพร่พระธรรมได้ไหม?
~ กว่าเลือดเนื้อจะเหือดแห้ง หมายความว่าอย่างไร ใครจะไปให้เลือดเนื้อเหือดแห้งได้ ไม่มีทางเลย แต่หมายความว่า ตราบใดที่เท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ และดำรงพระพุทธศาสนา จนกว่าจะตาย
~ ต้องเข้าใจ แล้วจึงพูดสิ่งที่เข้าใจที่ไตร่ตรองแล้วศึกษาแล้วโดยละเอียดโดยความถูกต้อง พร้อมกันนั้นก็ให้คนอื่นได้ไปศึกษาเองด้วย เพราะว่าพระไตรปิฎกและอรรถกถากว้างขวางมาก พูดได้เลยว่า ไม่มีใครรู้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่ใครก็ตามที่สนใจในความถูกต้องที่จะเข้าใจขึ้น ก็ศึกษา ช่วยๆ กัน
~ สิ่งที่มีอยู่ในใจตลอดเวลา ก็คือ ไม่มีเรา เท่านี้ นำมาซึ่งกุศลทั้งปวงไม่มีเราแล้วเราจะสำคัญตนไหม นอกจากว่าเขาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้หวังเพื่อเรา เพราะไม่มีเรา แต่ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เกิดมาที่ใครๆ ก็ฟังคำโบราณมาว่า "ไม่เสียชาติเกิด" คืออย่างไร ที่จะมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีเรา ก็ไม่คิดถึงเรา แต่คิดถึงคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนทั้งสิ้นที่เราสามารถที่จะช่วยได้ทุกแง่มุมหรือทุกอย่าง ไม่ว่าโดยคำพูดหรือว่าโดยการกระทำหรือว่าโดยการคอยเวลาโอกาสที่เหมาะสมที่ยังไม่ถึงเวลาคำพูดนั้นก็ไร้ประโยชน์เราก็ไม่พูด เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของคนอื่น ประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ประโยชน์ที่จะดำรงคำสอนเพื่อให้คนต่อๆ ไปได้เข้าใจถูกต้อง ก็สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะว่า เราเกิดมาเป็นคนนี้ชั่วชาตินี้ชาติเดียว ชาติก่อนก็ไม่ใช่คนนี้ ชาติหน้าก็ไม่ใช่คนนี้ เฉพาะเดี๋ยวนี้เท่านั้นที่เป็นคนนี้ แล้วก็จะหมดความเป็นบุคคลนี้โดยไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด ก็คือ เมื่อไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือ การที่จะรู้ความจริง เพื่อดับกิเลส ซึ่งไม่สามารถที่จะเป็นไปได้ ถ้าไม่มีการเข้าใจพระธรรม คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนา ด้วยความซาบซึ้งยิ่งค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ผู้ให้ความรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดปัญญาขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิดจริงๆ ในทุกครั้งที่ได้ฟัง ได้อ่าน กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ที่เคารพยิ่ง
และคณะอาจารย์วิทยากรทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
กราบ เท้า ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่าน อ. ดวงเดือน..และ วิทยากรทุกท่าน
อนุโมทนา ใน กุศลจิต ของทุกท่านค่ะ..