พระท่านว่าการเรียนพระอภิธรรมไม่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติ
http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/teacher/19448/ ควรศึกษาพระอภิธรรมไหม และจะช่วยเกื้อกูลการปฎิบัติเพื่อพ้นทุกข์มากน้อยแค่ไหน จากข้อความที่อยู่ในเว็บไซต์ดังกล่าว ควรจะอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรที่จะได้เข้าใจตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าบุคคลอื่นจะกล่าวว่าอย่างไร ก็ต้องย้อนกลับมาว่า แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าอย่างไร
ข้อความในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๕๒
แสดงถึงความสำคัญตั้งแต่การศึกษาปริยัติ ไว้ว่า
"ปริยัติอันบุคคลเรียนดีแล้ว คือ จำนงอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณ มีสีลขันธ์เป็นต้นนั่นแล เรียนแล้ว ไม่เรียนเพราะเหตุมีความโต้แย้ง เป็นต้น ปริยัตินี้ ชื่อว่าปริยัติมีประโยชน์ที่จะออกจากวัฏฏะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน แก่กุลบุตรเหล่านั้น ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ? ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้น เพราะธรรมทั้งหลาย อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว "
ข้อความใน[เล่มที่ 78] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๘๘๑
ก็แสดงไว้ชัดเจนว่า
แม้ผู้มีปัญญาทราม ก็จะนั่งในท่ามกลางแห่งอุปัฏฐากทั้งหลาย กล่าวอยู่ว่า เราย่อมสละปริยัติ ดังนี้ เป็นต้น ด้วยคำว่า เมื่อเราตรวจดูหมวดสามแห่งธรรมอันยังสัตว์ให้เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่ มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์ ชื่อว่า ปริยัติ ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยยากสำหรับพวกเรา การสนใจในปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้ ย่อมแสดงซึ่งความที่ตนเป็นคนมีปัญญามาก ก็เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมทำลายพระศาสนา ชื่อว่า มหาโจรเช่นกับบุคคลนี้ ย่อมไม่มี เพราะว่า บุคคลผู้ทรงพระปริยัติ ชื่อว่า ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่.
การศึกษาปริยัติ ก็คือ การศึกษาพระพุทธพจน์ พระพุทธพจน์ เป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นวาจาสัจจะ เป็นคำจริงทุกคำ เป็นคำที่ทรงแสดงถึงธรรมคือสิ่งที่มีจริงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง การศึกษาพระพุทธพจน์ นั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจเห็นถูก เพื่อให้เกิดความรอบรู้จริงๆ จนมีความมั่นคงในความเป็นธรรม
ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนเกิดมาด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) การที่จะมีความรู้ซึ่งค่อยๆ ละคลายอวิชชาก็โดยการศึกษาพระพุทธพจน์ ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าใจเองได้โดยไม่ศึกษาปริยัติซึ่งก็คือพระพุทธพจน์แต่ละคำ แม้แต่คำว่าธรรม สำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระพุทธพจน์จะไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ขณะนี้เป็นธรรม ทุกขณะที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงความจริงคือความเป็นธรรมเพื่อให้สาวก คือ ผู้ฟัง มีความเข้าใจที่มั่นคงจนเป็นสัจจญาณซึ่งก็คือปัญญาความเข้าใจมั่นคง ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ธรรมไม่มีใครเป็นเจ้าของ และ ไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะธรรมเกิดดับเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยและไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
เรื่องการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะว่าบางคนอาจจะมีความคิดว่า อยากจะปฏิบัติเท่านั้น เพียงแต่ว่าอยากจะปฏิบัติอย่างเดียว แต่จะไม่ฟังพระธรรม เพราะคิดว่าเรื่องปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนการฟังพระธรรมนั้นไม่สำคัญ ถ้าบุคคลใดคิดอย่างนี้ บุคคลนั้นจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เข้าใจพระธรรม เพราะว่าในขณะนี้คือธรรมทั้งหมด ไม่ว่าทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังพระธรรม คือ ปริยัติ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรม ก็จะไม่มีความเข้าใจใดๆ พอที่จะสติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติโดยที่จะไม่ฟังพระธรรมนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย และสำหรับการฟังพระธรรม ก็จะต้องฟังไปจนกระทั่งเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องแล้ว การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้น ก็เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องคิดว่าจะปฏิบัติ เมื่อฟังพระธรรมจนกระทั่งเมื่อเข้าใจแล้วจะไม่ต้องคิดเลยว่าจะปฏิบัติ เพราะเหตุว่าแล้วแต่สติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เมื่อใด ขณะนั้นสติก็ปฏิบัติกิจของสติ ถ้ากำลังอยากจะปฏิบัติ หรือคิดว่าจะปฏิบัติ ก็ยังเป็นตัวตน ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ในขณะที่คิดนั้นเป็นนามธรรมที่คิด แต่เมื่อสติไม่ระลึก ก็ไม่สามารถที่จะไถ่ถอนความเป็นตัวเราได้ในขณะที่กำลังคิด แต่เมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องคิดที่จะปฏิบัติ แล้วแต่สติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะใด ก็ระลึกทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ไปเรื่อยๆ ความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วแต่สติจะเกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรมไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าจะต้องคิดว่าจะปฏิบัติ
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ความรอบรู้ในปริยัติที่ตรงที่ไม่ผิดพลาดไม่คลาดเคลื่อน ย่อมเป็นปัจจัยให้เริ่มเข้าใจลักษณะของธรรม คือ เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดปรากฏขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน พระพุทธพจน์ แสดงเรื่องของสภาพธรรมประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถคิดเองได้ ถ้าไม่ศึกษาพระปริยัติคือพระพุทธพจน์แล้วไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงได้เลย เมื่อไม่มีความเข้าใจก็จะทำให้ดำเนินไปในทางที่ผิด ปฏิบัติผิด พอกพูนความไม่รู้ ความติดข้อง ความเห็นผิดและกิเลสทั้งหลายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดังนั้น รากฐานที่สำคัญ ก็คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่เป็นปริยัติ ด้วยความจริงใจ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง เพราะพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แต่ละคำๆ นั้น เกื้อกูลแก่ผู้ไม่รู้ซึ่งมากไปด้วยอวิชชาและกิเลสทั้งหลาย ให้ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ค่อยๆ พ้นจากความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายไปตามลำดับ ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
บุคคลผู้ทรงปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่
…อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ....