พระเครื่องมีพุทธคุณ กันภัยอันตรายได้
มีนักสะสมพระเครื่องกล่าวว่า ด้วยอำนาจพุทธคุณจากพระเครื่องที่ปลุกเสกด้วยเกจิอาจารย์ ทำให้ยิงฟันไม่เข้า ป้องกันอันตรายได้ มีมหาเสน่ห์ ค้าขายดี เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ครับ แล้วจริงๆ แล้วพุทธคุณที่ถูกต้องคืออย่างไร ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่เชื่อถือพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง หรือ นับถืออะไรก็ตาม ที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล นั่นแสดงถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศล เป็นความหลงงมงาย ไม่ใช่ความประพฤติเป็นไปของบุคคลผู้ที่เข้าใจในพระคุณอันประเสริฐยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยแม้แต่น้อย ครับ
พระพุทธคุณ
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอก เมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลเอก คือ บุคคลชนิดไหน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”
(พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต)
“พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนแพทย์ผู้ฉลาด เพราะทรงสามารถกำจัดพยาธิคือกิเลสพร้อมทั้งอนุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) ออกได้ พระธรรมเปรียบเหมือนเภสัชยาที่ทรงปรุงถูกต้องแล้ว พระสงฆ์ผู้มีพยาธิคือกิเลสและอนุสัยอันระงับแล้ว เปรียบเหมือนหมู่ชนที่พยาธิระงับแล้ว เพราะประกอบยา พระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนผู้ชี้ทาง พระธรรมเปรียบเหมือนทางดีหรือพื้นที่ที่ปลอดภัย พระสงฆ์เปรียบเหมือนผู้เดินทางถึงที่ที่ปลอดภั”
(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ)
“ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพึงเข้าไปเฝ้า? ตอบว่า เพราะท่านเหล่านั้นมีความประสงค์เพื่อจะบรรลุคุณวิเศษมีประการต่างๆ เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ผลิตผลตลอดฤดูกาล อันฝูงนกทั้งหลายพากันไปยังต้นไม้นั้น ด้วยประสงค์จะจิกกินซึ่งผลมีรสอร่อย ฉะนั้น”
(สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค โอฆตรณสูตร)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคลที่ไม่มีใครเสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมากเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด
พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประมวลแล้วสรุปรวมลงใน ๓ ประการ คือ
พระบริสุทธิคุณ (ทรงดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ทรงมีความบริสุทธิ์ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ)
พระปัญญาคุณ (ทรงมีพระปัญญาที่รู้สภาพธรรมทุกอย่างไม่มีเหลือ)
พระมหากรุณาคุณ (ทรงมีพระทัยประกอบด้วยเมตตาเกื้อกูลสัตว์โลก ด้วยการแสดงพระธรรม ในแต่ละวัน พระองค์ทรงพักผ่อนน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกทั้งปวง)
บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงมีการฟัง มีการศึกษา สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อศึกษาเข้าใจความจริงแล้ว ย่อมจะมีความซาบซึ้งมากขึ้นในพระคุณของพระพุทธองค์ ทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณ ตามปัญญาของตนเอง ผู้ที่ขาดการฟัง ขาดการศึกษา ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...