ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๔ * *
~ ความโกรธเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ฉันใด ความไม่โกรธก็เกิดขึ้นเพราะการอบรมเจริญเหตุปัจจัยที่จะไม่โกรธ ฉันนั้น ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ทรงสอน จะไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงธรรมโดยประการทั้งปวง ที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตาม คือ ไม่โกรธ จึงชื่อว่า ทำตามคำสอนของพระองค์
~ แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ
~ การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปโลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวันนี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด
~ ความกระวนกระวายที่ไม่จบสิ้น เมื่อไรจะจบสักที ลองคิดดูวันนี้อยากได้อะไร พรุ่งนี้จะหมดความอยากได้ไหม หรือ ถึงแม้ว่าจะเป็นพรุ่งนี้ ก็ยังมีความอยากได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติก็ตาม
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง กล่อมจิตให้มีความจริงแต่ละหนึ่งในขณะนี้
~ ชีวิตทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสถูกต้อง คิดนึก มีใครพ้นบ้าง? แต่ละขณะ ตั้งแต่เกิด แต่ไม่รู้ความจริง และถ้าจะจากโลกนี้ไป ก็จากไปด้วยความไม่รู้
~ การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูก แม้เพียงขั้นเริ่มต้น ถ้าขั้นเริ่มต้นไม่เข้าใจถูกต้อง จะเข้าใจเพิ่มขึ้นจนกระทั่งปฏิปัตติธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ทั้งหมดเป็นปัญญาซึ่งต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจธรรม
~ การฟังพระธรรม ก็คือ การเคารพอย่างยิ่งในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นเราจะไม่มีโอกาสได้ยินคำว่า ธรรมเป็นอนัตตา นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม นามธรรมก็มีทั้งจิตและเจตสิก และขณะหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นทรงแสดงความจริงโดยตลอด โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้รู้ว่า จิต หนึ่งขณะที่กล่าวว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ละเจตสิกทำหน้าที่อะไร และเป็นปัจจัยแก่จิตโดยสถานใด เพื่อไม่ใช่เรา
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อให้คนที่เกิดมาแล้วไม่รู้อะไรเลย ได้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ค่อยๆ รู้ความจริงยิ่งขึ้น
~ ความไม่รู้ มากมาย ถ้าไม่ได้สะสมการเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ว่า อะไรเกิด แม้แต่เกิดก็ไม่รู้ว่าอะไร คิดก็ไม่รู้ว่าอะไร สุขหรือทุกข์ก็ไม่รู้ว่าอะไร สิ่งที่พอใจ ไม่พอใจ ก็ไม่รู้อะไร เป็นอย่างนี้ไปตลอดในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะห้ามการเกิดดับของสภาพธรรมไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา
~ ธรรม คือ ขณะนี้ตามความเป็นจริง สัจจธรรม ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนสภาพธรรมในขณะนี้ให้เป็นอย่างอื่นด้วยได้เลย ให้เป็นอย่างอื่น ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ด้วย ก็ไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรม กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน ทั้งหมดก็คือเป็นธรรม
~ การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด
~ จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม คือ เพื่อละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็หลอกตัวเอง เข้าใจว่าไม่มีกิเลสแล้ว ไม่รู้อะไรสักอย่าง ก็เข้าใจว่า รู้แล้วมาก กำลังจะเป็นพระอริยบุคคลหรืออะไรอย่างนั้น ก็ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ธรรม เป็นเรื่องที่ตรง
~ ถ้าให้เขาเห็นถูกต้อง ทำร้ายเขาหรือเปล่า?
ใครจะรู้ใจใคร แต่ให้รู้ว่าผู้ที่ได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นคุณค่าที่สูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น จะเห็นว่าคนอื่นควรจะได้รับประโยชน์ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า? ไม่ว่าเขาจะรักหรือจะชังหรือไม่ชอบอย่างไรก็ตาม กิเลสของใคร? แต่ว่าถ้าเราโกรธหรือว่าเราเสียใจหรือว่าเราน้อยใจ ไม่มีใครทำให้เลย นอกจากตัวเองแล้วก็เอากิเลสมาใส่ตัวเพิ่มขึ้น แต่ความหวังดีเปลี่ยนให้เป็นความหวังร้ายไม่ได้เลย ถ้าเราพูดสิ่งที่ถูกต้อง ควรที่จะได้ไตร่ตรอง ดีไหม? ควรพูดไหม? เพราะฉะนั้น เราทำสิ่งที่ผิดหรือเปล่าในเมื่อทุกคำเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมดทุกคำเพราะฉะนั้น เป็นการอนุเคราะห์อย่างยิ่งที่จะให้คนได้เข้าใจถูกต้อง เป็นมิตรที่ดีสำหรับการที่หวังดีให้เขาพ้นจากภัยคือความเห็นผิด
~ ส่วนใหญ่อยากจะพบคนดี แล้วเราเริ่มเป็นคนดีที่คนอื่นเขาอยากจะพบหรือยัง?
~ สิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นไปกับความติดข้อง ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสละ ก็ไม่ต้องไปคล้อยตามในการกระทำอย่างนั้น ควรที่จะละทิ้ง ไม่ต้องไปเกรงใจในอกุศล
~ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา จะไม่นำพาไปสู่การปฏิบัติที่ผิด
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา อนุเคราะห์เกื้อกูลไม่ให้เข้าใจผิด ไม่ให้คิดธรรมเอาเอง
~ ศรัทธาจะมั่นคงขึ้น ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจในพระธรรมยิ่งขึ้น ถ้ายังไม่เข้าใจพระธรรม ก็จะไม่เห็นประโยชน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา
~ ประโยชน์จากการที่ได้เกิดมาแล้วก็ต้องตายจะเร็วหรือช้า ก็คืออย่างน้อยที่สุดชาตินี้ ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริงจากการได้ฟังพระธรรม
~ กุศลจิตสามารถทำให้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ในทุกสถานการณ์
~ ผู้ที่หวังร้ายต่อท่าน ก็เป็นอกุศลจิตของเขา ไม่ใช่ของท่าน
~ ผู้ไม่ประมาท คือ มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาและสะสมกุศลต่อไป
~ ถ้าทราบว่ายังเป็นผู้มีโมหะ (ความหลง ความไม่รู้) มาก ที่จะต้องขัดเกลา ก็จะทำให้ไม่ละเลยการฟังพระธรรมและไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย
~ ควรที่จะได้เห็นตามความเป็นจริงว่า มีศรัทธา มีปัญญาเพียงเล็กน้อยแล้วไม่สะสมเพิ่มเติมจนกระทั่งมีกำลัง อย่างอื่น คือ อกุศล ก็จะมีกำลังมากกว่า
~ เกิดมาแล้วไม่ได้ฟังพระธรรม อยู่ไปๆ จนกระทั่งตายไป ก็เหมือนกับขณะที่เกิดมา คือ ยังคงไม่ผู้อยู่เหมือนเดิม
~ เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ สำหรับคำนินทาและสรรเสริญ เมื่อเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนี้ ใครเสียเวลาเร่าร้อนใจหวั่นไหว ก็เป็นผู้ไม่ฉลาดเลย เพราะเหตุว่าไม่รู้สภาพธรรมที่เป็นธรรมดาของโลก
~ ถ้าท่านถูกประทุษร้ายเบียดเบียนในปัจจุบันชาตินี้ แทนที่จะนึกโกรธหรือมุ่งร้ายต่อบุคคลผู้กระทำต่อท่าน ก็ควรที่จะมนสิการ (ใส่ใจ) ถึงกรรมของท่านเองที่ได้กระทำแล้ว ว่ามีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลดังนี้จึงได้เกิดกับท่าน ถ้านึกอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ขึ้นบ้างไหม ก็คงจะทำให้ละคลายการผูกโกรธ
~ ชาตินี้ เราพอที่จะรู้ว่าเราจะไปทางไหน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะไปทางหนึ่ง เราก็ต้องหลีกเลี่ยงอีกทางหนึ่งด้วยความมั่นคงเท่าที่มีกำลัง เพราะเหตุว่า เราไม่ใช่คนประมาทที่จะคิดว่าเราไม่มีกิเลสแล้ว แต่ว่าเรายังเป็นผู้ที่มีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น หนทาง ก็คือว่า ไม่ประมาททั้งหมดทุกประการในเรื่องทั้งปวง
~ ความเข้าใจถูกต้องเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่เราไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม นี่คือ การละความไม่รู้ซึ่งทำให้เกิดความติดข้องที่ยึดถือว่ามีเราแล้วก็มีสิ่งอื่นด้วย ซึ่งความจริงไม่มี (เพราะเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก)
~ ไม่ประมาทแม้ในการฟัง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของกุศลทุกประการ
~ ใครก็ตาม ที่ไม่ชอบเราว่าเรา โทสะ (ความโกรธ) ของเขา แล้วทำไมจะไปเดือดร้อน เห็นไหม? ความไม่รู้ทำให้เดือดร้อนว่าเขาว่าเรา เพราะไม่รู้ ใช่ไหม? แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา ขณะนั้นไม่เอาโทษมาใส่ตนเอง คือ ไม่เป็นปัจจัยให้กิเลสที่สะสมมาเพิ่มความเป็นตัวตนขึ้น เพราะมีความเข้าใจถูกต้อง ว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น จากการที่เริ่มเข้าใจมั่นคงว่าไม่มีเรา กุศลทั้งหมด จะเจริญขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
~ พูด เมื่อสิ่งนั้นเป็นประโยชน์
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...