สอบถามปาราชิกข้อ 2 ครับ
ตอนบวชอยู่ พระอาจารย์ท่านซื้อดินมา แล้วก็ให้พระช่วยกันตักขึ้นรถ แต่ตอนนั้นที่บวชเป็นพระเห็นหินก้อนนึง มีลักษณะคล้ายกับเพชร ณ ตอนนั้นจิตมีความคิดที่จะลักขโมย แล้วพระเองก็หยิบหินก้อนนั้นขึ้นมาดู (ตอนหยิบมีจิตลักขโมยกับจะคืนเจ้าอาวาส แต่จิตลักขโมยสูงกว่ามาก) ปรากฎว่าหินก้อนนั้นเป็นแค่หินธรรมดา อยากทราบว่าจะปาราชิกหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มีจิตคิดจะลัก แล้วก็ลักมา แต่ของนั้น มีราคาไม่ถึง ๕ มาสก ก็ไม่ต้องอาบัติปาราชิก
การลักขโมย แม้คฤหัสถ์ยังไม่ควรทำ และนี่ยิ่งเป็นบรรพชิตแล้วก็ยิ่งจะต้องไม่ทำ จะต้องสำรวมระวังรักษาสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ อย่างดียิ่ง เห็นโทษของการล่วงละเมิดสิกขาบท อยู่ตลอด สำนึกว่าตนเองเป็นบรรพชิต ไม่ใช่คฤหัสถ์ ขัดเกลากิลเสตั้งแต่ตื่นจนหลับ
สำคัญที่สุด คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต และไม่ประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติว่าเป็นโทษ ความเดือดร้อนใจในภายหลังที่เกิดขึ้น ก็เป็นเพราะไม่ได้คล้อยตามพระพุทธพจน์ ถ้าได้สำรวมตามสิกขาบทต่างๆ ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ การต้องอาบัติน้อยใหญ่ ก็จะไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นเหตุให้เดือดร้อนใจในภายหลัง
ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของการบวชว่า บวชเพื่ออะไร ก็จะทำให้ละเลยถึงกิจที่ตนเองควรทำให้สมกับเพศที่สูงยิ่งกว่าคฤหัสถ์ คือ ละเลยในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด การประพฤติปฏิบัติก็ย่อมจะผิดไปด้วย ทำให้มีความย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ต้องอาบัติด้วยความไม่ละอาย โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร เป็นไปตามการสะสมของแต่ละคนแต่ละท่านจริงๆ ตามความเป็นจริงแล้ว ความเป็นบรรพชิตเป็นเพศที่สูงยิ่ง ถ้ารักษาไม่ดี ก็ย่อมมีแต่จะทำให้เกิดโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว คร่าไปสู่อบายภูมิได้เลยทีเดียว ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์สูงสุดของการบวช ก็จะเป็นผู้ศึกษาพระธรรมและน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...