ธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงตรัสรู้

 
Pharinyapon
วันที่  22 มี.ค. 2563
หมายเลข  31653
อ่าน  966

ขอโอกาศสอบถามอาจารย์และท่านผู้รู้ค่ะ

เรื่องมีว่าดิฉันได้สนทนากับพระภิกษุรูปหนึ่ง ถึงเรื่องธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ทรงตรัสรู้ ดิฉันได้ถามถึงว่า บุคคลเมื่อสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ นั้นมีอายุถึง 20,000 ปี ดิฉันมีความสงสัยว่า ก็เมื่อตอนที่พระโพธิสัตว์จักจุติ มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น เนื้อหาตามที่ได้ศึกษาท่านกล่าวว่าพระองค์ทรงตรวจดูกาล ถ้าว่ามนุษย์มีอายุมากเกิน ธรรมของพระองค์ ที่ว่า อนิจจํ ทุกขํ อนตตา จะไม่ปรากฏแก่ชนทั้งหลาย จะไม่เป็นการเกื้อกูลแก่ชนทั้งหลาย แต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ที่มนุษย์มีอายุเป็นหมื่นๆ ธรรมเหล่านั้นจะปรากฏกับเขาหรือเปล่า และดิฉันได้รับคำตอบจากภิกษุรูปนั้นนั้นว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ตรัสรู้นั้น ไม่เหมือนกัน มรรคก็คนละแบบกัน แต่มีแก่นเหมือนกัน และการรู้ธรรมของบุคคลก็รู้คนละอย่าง ตามแต่ว่าสมัยนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้เรื่องอะไร

เพราะความที่ดิฉันศึกษามาน้อย ทำให้ดิฉันสงสัยมากว่า มันเป็นเช่นที่ท่านกล่าวมาจริงหรือ แล้วมีอรรถกถาหรือข้อความในพระไตรปิฎกตอนไหนที่กล่าวแบบนั้น ขอท่านผู้รู้กรุณาด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องมีกาลอันควร พระโพธิสัตว์เมื่ออยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตเทวดาอ้อนวอน ให้มาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทรงตรวจดูกาลเวลานั้นควรที่จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ คือ พิจารณา มหาวิโลกนะ ๕ ประการ คือ ประการแรกทรงพิจารณากาละ อายุของมนุษย์ว่าเหมาะสมหรือไม่ คือ ถ้าอายุมากกว่า แสนปี ก็ไม่ใช่กาลที่ควรบังเกิด เพราะ อนิจจัง ควาไม่เที่ยง ย่อมไม่ปรากฎ กับสัตว์ผู้มีอายุยืน แต่ ต่ำกว่าแสนปี เป็นกาลเวลาที่พระพุทธเจ้าควรบังเกิดได้ เพราะ ความไม่เที่ยงปรากฎกับหมู่สัตว์ได้ เช่น สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ อายุมนุษย์ สองหมื่นปี และ ที่น่าพิจารณาคือ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ย่อมตรัสรู้ความจริงเหมือนกัน ด้วยหนทาง มรรค อย่างเดียวกัน คือ ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ทางสายกลาง ที่เป็นทางที่อบรมรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา จะไม่แตกต่างกันเลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ไม่ว่าจะเป็นมรรค หรือ ผลที่เกิดจากมรรคและนิพพาน ครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 144

ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ แม้ถูกเทวดาทั้งหลายทูลวอนขอ ก็มิได้ ประทานปฏิญญาคำรับรองแก่เทวดาทั้งหลาย แต่ทรงตรวจดู มหาวิโลกนะ ๕ คือกำหนดกาล ทวีป ประเทศ ตระกูลพระชนมายุของพระชนนี บรรดามหาวิโลกนะ ๕ นั้น ทรงตรวจดูกาลก่อนว่า เป็นกาลสมควร หรือยังไม่เป็นกาลสมควร. ในกาลนั้น อายุกาล [ของสัตว์] สูงกว่าแสนปีขึ้นไป ยังไม่ชื่อว่ากาล. เพราะเหตุไร. เพราะทุกข์มีชาติชรามรณะเป็นต้นไม่ปรากฏ ก็ธรรมดาพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ชื่อว่าพ้นจากไตรลักษณ์ ไม่มีเลย. เมื่อพระพุทธเจ้าเหล่านั้นตรัสว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าเหล่านั้นตรัสเรื่องอะไร แต่นั้น การตรัสรู้ก็ไม่มีเมื่อการตรัสรู้นั้นไม่มี คำสั่งสอนก็ไม่เป็นนิยยานิกกะนำสัตว์ออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้น กาลนั้น จึงไม่เป็นกาลสมควร. แม้อายุกาล [ของสัตว์] ต่ำกว่าร้อยปีก็ยังไม่เป็นกาลสมควร เพราะเหตุไร เพราะกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนาแน่น และโอวาทที่ประทานแก่สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสหนาแน่น ไม่อยู่ในฐานะควรโอวาท เพราะฉะนั้นกาลแม้นั้น ก็ไม่เป็นกาลสมควร. อายุกาลอย่าง
ต่ำตั้งแต่แสนปีลงมา อย่างสูงตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป ชื่อว่า กาลสมควร. บัดนี้มนุษย์ทั้งหลายมีอายุร้อยปี เพราะเหตุนั้น ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ทรงเห็นว่าเป็นกาลที่ควรบังเกิด.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 22 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่นานมาก พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง เป็นผู้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง พระบารมีทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาก็เพื่อที่จะอุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ที่จะได้ตรัสรู้ตามพระองค์ เป็นสาวก ผู้ที่เป็นสาวก ไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ล้วนต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และที่สำคัญพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่มีความแตกต่างกันเลย เหมือนกันทั้งหมด แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการตามความเป็นจริง ด้วยพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และมีความเข้าใจ อย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละอกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นี้ คือ พระสมณโคดม ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอย่างยิ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งจะได้เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา๔๕ พรรษา ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงจนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ในที่สุด มีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง มากมาย นับไม่ถ้วน ดังนั้น จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ต้องเริ่มฟังเริ่มศึกษาคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ประสาน
วันที่ 23 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Pharinyapon
วันที่ 23 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Somporn.H
วันที่ 23 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ