ถ้าไม่มีเรา ใครเป็นผู้ให้ทาน
กราบเรียนถามอาจารย์
เมื่อไม่มีเรา มีแต่ธัมมะ
เมื่อทำทาน ใครเป็นผู้ทำครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีเรา แล้วมีอะไร มีแต่ธรรม ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังมีกำลังปรากฎ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ คิดนึก รวมสรุปว่ามีแต่ธรรมที่เป็น นาม และ รูป หรือ ขันธ์ ๕ แต่เพราะความไม่รู้ของสัตว์โลก จึงยึดถือว่า รูปเป็นเรา เวทนาเป็นเรา สัญญาเป็นเรา เป็นต้น ยึดถือว่าธรรมเป็นเรา แท้ที่จริงไม่มีเรา มีแต่ธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงสัจจะความจริงไว้สองอย่าง คือ ปรมัตถสัจจะ และ สมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ คือความจริงที่มีแต่ธรรมไม่ใช่เรา สมมติสัจจะ คือ ความจริงที่หมายเรียกตัวธรรมที่ให้เข้าใจตรงกัน เช่น พระพุทธเจ้าตรัสเรียกท่านพระอานนท์ ไม่ได้เรียกว่า ขันธ์ ๕ จงมา แต่ให้หมายรู้ว่า คือ ท่านพระอานนท์ ไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร เรียกโดยสมมติสัจจะ ให้หมายรู้ว่าเข้าใจตรงกัน โดยนัยเดียวกัน ไม่มีใครให้ทาน แต่ เป็นสติเจตสิก ที่เกิดกับจิตที่ดี ทำกิจที่จะระลึกที่จะให้ แต่ถ้าจะเรียกโดยสมมติให้เข้าใจตรงกัน ว่าเป็นคนนี้ให้ ไม่ใช่คนอื่นให้ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีให้ ไม่ใช่ นางวิสาขาให้ หมายรู้เรียกชื่อว่าใครให้ ให้เข้าใจตรงกัน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่ละสมมติเรียกทางโลก แต่ท่านรู้ความจริงว่า ที่สมมติเรียกก็คือมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การให้ทาน ไม่พ้นจากจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไปในกุศลที่จะให้วัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ถ้าตระหนี่หนี่เหนียว หรือ เห็นแก่ตัว การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่ที่ให้ในขณะนั้นก็เพราะสภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงเป็นอย่างนี้ ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เรา
การฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง ทุกขณะ เป็นธรรม ทั้งหมดเลย เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งก็ต้องฟังพระธรรมต่อไป สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...