ถ้าเมื่อใดความร้อนจากไฟคือกิเลสมันไม่มี เมื่อนั้นก็มีภาวะแห่งนิพพาน.
"แม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระแห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่ทั่วไป เมื่อบุคคลไม่มีความร้อนใดๆ ก็หมายความว่า กำลังดื่มกินพระนิพพาน.
ทีนี้ก็จะพูดกันถึงความร้อน ความร้อนทั่วๆ ไป อย่างไฟอย่างนี้ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เดี๋ยวนี้หมายถึง ความร้อนในจิตใจ ที่มันเกิดมาจากกิเลส เช่น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นความร้อนแห่งไฟคือกิเลส ถ้าเมื่อใดความร้อนจากไฟคือกิเลสมันไม่มี เมื่อนั้นก็มีภาวะแห่งนิพพาน. นี่เป็นหลักที่สำคัญที่สุดที่จะต้องกระทำไว้ในใจว่า เมื่อใด ไม่มีไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ไม่มี ก็มีความเย็นอย่างนิพพาน ถ้ามันไม่มีชั่วคราว มันก็เป็นความเย็นชั่วคราว. ถ้ามันมีนิดหนึ่ง มันก็เป็นความเย็นนิดหนึ่ง และมันคงเป็นความเย็นนั่นเอง ถ้ามันเป็นความเย็นแล้ว ก็มีความหมายแห่งนิพพาน เป็นเรื่องความเย็นในทางจิตใจ ขอให้สนใจดูให้ดีว่า เรามีความร้อนเมื่อไร มีความร้อนใจเมื่อไร มันก็หมายความว่า มีความร้อนที่เกิดมาจากกิเลสเมื่อนั้น เมื่อใดความร้อนชนิดนั้นไม่มี มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า นิพพานไม่มากก็น้อยอยู่ในจิตใจ."
จากข้อความดังกล่าวข้างต้น พอจะอนุมานได้ว่า ขณะที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นก็มีสภาพธรรมที่เรียกว่านิพพานเกิดขึ้น เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องใช่หรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิพพานไม่ปรากฎกับผู้ยังไม่มีปัญญาขั้นสูงแม้ความฝัน
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 717
ข้อความบางตอนจาก
ปฐมนิพพานสูตร
ก็ด้วยอันดับคำเพียงเท่านี้ พระธรรมราชาเมื่อจะทรงประกาศอมตนิพพาน อันไม่เคยมีไนสงสารซึ่งหาเบื้องต้นรู้ไม่ได้ แม้ที่สุดด้วยความฝัน อันลึกโดยปรมัตถ์ เห็นได้ยากอย่างยิ่ง ละเอียดสุขุม นึกเอาเองไม่ได้ สงบที่สุด เป็นที่อำนวยผลเฉพาะตน ประณีตยิ่งนัก
พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ประจักษ์ด้วยจิตทั่วไป แต่ประจักษ์ด้วยจิตที่มีปัญญาสูงมาก ที่เรียกว่า โลกุตตรจิต เพราะฉะนั้น พระนิพพานย่อมไม่มีแม้แก่บุคคลด้วยความฝัน เพราะ ไม่มีปัญญาที่จะรู้ถึงสภาพธรรมที่นิพพาน เพราะ พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดขึ้นและไม่ดับไป ขณะที่เกิดความร้อนใจด้วยอกุศล มีไฟเพราะโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่มีการเกิด แต่เมื่อใด กุศลจิตเกิดขึ้น เช่น ขณะที่ให้ทาน ขณะรักษาศีล ขณะนั้นสงบจากไฟ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ ไม่ได้สงบจากการเกิด คือ ยังมีการเกิดขึ้นและดับไป เพราะเป็นสภาพธรรมที่เป็นกุศลจิต สงบจากกิเลสชั่วขณะนั้น กุศลจิตเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องดับไป เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่สงบจากกิเลสชั่วขณะ แต่ยังมีการเกิด ที่เป็นกุศลจิต ไม่ชื่อว่านิพพาน เพราะ พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดและไม่ดับ ครับ ดังนั้นสภาพธรรมที่สงบจากกิเลส ไม่ใช่เป็นเพียงนิพพานเท่านั้น สงบชั่วขณะที่เป็นกุศลจิต ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่นิพพาานครับ
ดังนั้น การศึกษาพระธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ย่อมจะทราบความละเอียดของธรรมว่าแบ่งเป็นประเภทของธรรมที่มีจริง ๔ อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สำหรับจิต เจตสิก รูป ยังมีการเกิดและดับ ส่วนนิพพานไม่เกิดและไม่ดับ ถึงได้ โลกุตตรมรรคจิต ที่เป็นปัญญาระดับสูง เป็นต้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ไม่มีทางที่จะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงได้เลย ก็เป็นการพูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะเหตุว่าพระธรรม ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์สำหรับผู้เห็นคุณค่าอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด คือ สามารถประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น
พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และท่านเหล่านั้นก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าท่านได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน พระอริยบุคคล เป็นผู้ที่ประเสริฐ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ พระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...