ถือศีลอุโบสถออกกำลังกายได้หรือไม่
ดิฉันตั้งใจสมาทานศีลอุโบสถอยู่ที่บ้าน ตั้งใจถือนานเกือบหนึ่งเดือน แต่ช่วงนี้อยู่ในสถานการณ์ไวรัสระบาด มีความคิดว่าควรออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย ไม่ทราบว่าการออกกำลังระหว่างถือศีลอุโบสถเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรักษาศีลอุโบสถ จุดประสงค์เพื่อขัดเกลากิเลสมากขึ้น แต่ต้องรู้จักอุปนิสัยของตน และจุดประสงค์ว่ารักษาเพื่ออะไร ถ้ารักษาเพื่อจะได้บุญมากหรือเพื่ออานิสงส์อื่น รวมทั้ง จะได้เกิดในภพที่ดี เป็นเทวดาเป็นต้น ตรงนี้ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ถูกต้อง แต่ที่ถูกคือ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเพิ่มขึ้นจากศีล ๕ และเป็นไปเพื่อการละและดับกิเลสส่วนเดียวเท่านั้นครับ ดังข้อ ความในพระไตรปิฎกเรื่อง จุดประสงค์ที่ถูกและผิดในการรักษาศีลอุโบสถครับ
สมัยพุทธกาลผู้ที่ถือศีลอุโบสถ ศีล ๘ ละกิจการงานต่างๆ ในวันนั้น และ เป็นผู้เจริญกุศล อบรมปัญญาอยู่โดยมาก ไม่มีการมาออกกำลังกาย เพราะความรักตัว ป้องกันโรคแต่ มีการเดินไปเดินมา เปลี่ยนอิริยาบถได้ จึงต้องรู้ว่ารักษาศีลอุโบสถ เพื่อขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งในวันนั้น ถ้ากลัวโรคต้องการออกกำลังกาย ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาศีลอุโบสถ ศีล ๘ ก็สามารถรักษาศีล5 อบรมปัญญาได้เป็นปกติ ครับ
ข้อความบางตอนจาก
ทุติยราชสูตร
[๔๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ท้าวสักกะจอมเทวดา เมื่อจะปลุกใจเหล่าเทวดาดาวดึงส์ จึงภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า
แม้ผู้ใดพึงเป็นเช่นดังข้าพเจ้า ผู้นั้นก็พึงถืออุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์ และถืออุโบสถปาฏิหาริยปักษ์เถิด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลคาถานั้นนั่น ท้าวสักกะจอมเทวดาขับไม่เข้าที ไม่เป็นการขับดีแล้ว กล่าวไม่เหมาะ ไม่เป็นสุภาษิต นั่นเพราะเหตุอะไร เพราะท้าวสักกะจอมเทวดายังไม่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ส่วนภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว สำเร็จแล้ว ทำกิจที่ควรทำแล้ว ปลงภาระแล้ว เสร็จประโยชน์ตนแล้ว สิ้นเครื่องร้อยรัดไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยความรู้ชอบแล้ว จึงควรกล่าวคาถานั่นว่า
แม้ผู้ใดพึงเป็นเช่นดังข้าพเจ้า ผู้นั้นก็พึงถืออุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ในดิถีที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์ และถืออุโบสถปาฏิหาริยปักษ์เถิด.
นั่นเพราะเหตุอะไร เพราะภิกษุนั้น ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ แล้ว
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงบ่อยๆ เนืองๆ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญของปัญญา ซึ่งเป็นความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อปัญญาเจริญขึ้นกุศลธรรมประการต่างๆ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามด้วย โดยปกติของผู้ที่อบรมเจริญปัญญา ก็จะเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ทั้งในเรื่องของทาน ศีล และการอบรมเจริญปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป แต่ทั้งหมดก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น บุคคลผู้ที่มีปกติรักษาศีล ๘ มีอัธยาศัยในการรักษาศีล ๘ จึงเป็นผู้ที่ควรแก่การอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่ควรทำในวันดังกล่าวก็สำคัญอยู่ที่การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก พร้อมกับความตั้งใจที่จะสมาทานงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติในสิ่งที่ไม่ประเสริฐ จากการบริโภคอารหารในเวลาวิกาล จากการฟ้อนรำประโคมดนตรี และ การประดับตกแต่งร่างกาย และ จากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ ไม่กระทำกิจใดๆ ที่จะเป็นไปในการไม่ขัดเกลากิเลส
ต้องทราบจริงๆ ว่า การรักษาศีล ๘ นั้น เพราะเห็นโทษของอกุศล เพราะเห็นโทษของกิเลส ไม่ใช่เพียงแค่รักษาเพราะอยากจะได้บุญมากๆ ไม่ใช่เพียงอยากจะรักษาเพราะเห็นว่ามีมากข้อกว่าศีล ๕ โดยที่ไม่มีการขัดเกลาไม่มีการเพิ่มพูนของกุศลธรรม ดังนั้น จุดประสงค์ที่แท้จริง คือ เห็นโทษและขัดเกลากิเลส ซึ่งจะต้องสำรวมตามสิกขาบททั้งแปดด้วย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...