จริต
เลือกศึกษาธรรมะตามจริตของตัวเองคืออย่างไร?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จริต หมายถึง ความประพฤติเป็นไป อันเกิดขึ้นจากการสะสมมาในอดีต ที่เกิดกุศลหรืออกุศล สะสมเป็นอุปนิสัยของบุคลนั้น ให้มีจริตต่างๆ กัน
จริต แบ่งได้หลายนัย เพราะว่าสัตว์โลกมีการสะสมอุปนิสัย อันเกิดจากกุศลหรืออกุศลที่เกิดขึ้นมามากมายครับ บางครั้งก็โดยนัย จริต ๖ จริต ๓ จริต ๒ เป็นต้น อย่างกรณีนี้ สัตว์โลกแบ่งเป็นจริต ๖ ประการคือ จริต มีทั้งหมด ๖ อย่าง คือ ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต และ พุทธิจริต ถามว่า ใครรู้จริตของตนได้ หรือว่า สัตว์โลกก็สะสมอุปนิสัยจริตต่างๆ มาทั้งนั้น จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง และใครรู้ได้ว่าเราจริตอะไรครับ
การที่เราจะรู้ว่าเรามีจริตอะไร ไม่ได้รู้ด้วยการคิดนึกเท่านั้น เพราะเป็นความละเอียดของจิต ที่สะสมในอดีตชาตินับไม่ถ้วนมากมาย ซึ่งการจะมีจริตอะไรนั้น ก็เกิดจากกรรมที่นำเกิดว่า กรรมที่นำเกิดนั้น ประกอบด้วย โลภะอ่อนหรือกล้า โทสะอ่อนหรือกล้า โมหะอ่อนหรือกล้า เช่น ถ้ากรรมที่ทำนำเกิดนั้น เป็นกรรมที่ทำด้วยโลภะมีกำลังกล้า โทสะมีกำลังกล้า โมหะมีกำลังกล้า ก็ทำให้เป็นคน มีราคะจริต โทสะจริตและโมหะจริตด้วย ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำด้วย ดังนั้น เราไม่สามารถรู้จริตของเราได้ทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องของปัญญา และไม่ใช่เพียงสังเกตเพียงอาการเท่านั้น ผู้ที่จะรู้จริต ก็ต้องมีปัญญาครับ แต่ก็พอสังเกตได้ แต่ไม่ทั้งหมด
ส่วนการอบรมเจริญวิปัสสนา อันเป็นหนทางดับกิเลส พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสัตว์โลกมี ๒ จริต คือ ตัณหาจริตและทิฏฐิจริต ตัณหาจริต ก็คือมีราคะกล้า หรือมีราคะ (โลภะ) อ่อน อีกประเภท คือ มีทิฏฐิกล้า คือ มีความเห็นผิดมาก กับ มีทิฏฐิอ่อน หรือ มีความเห็นผิดน้อย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกสะสมอกุศลมามากมาย โดยไม่สามารถเดาได้เลยว่าจริตอะไร ทั้งราคะ โลภะ ความเห็นผิดเมื่อเป็นเพียงการคิดนึกเดาในจริตของตน แม้จะเดาผิดหรือถูกอย่างไร หากไม่เข้าใจหนทางในการดับกิเลส คือการเจริญสติปัฏฐาน เพียงแต่ไปหาอารมณ์ ไปพยายามรู้จริตของตน และก็จะได้เลือกหมวดธรรมที่เหมาะกับตน แต่ลืมความเข้าใจเบื้องต้นในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจและสติปัฏฐานก็เกิดไม่ได้เลยครับ
ดังนั้น ประโยชน์สำคัญที่สุด คือไม่ใช่มุ่งไปหาว่าเราจริตอะไร แต่อบรมปัญญาเพื่อเข้าใจหนทางที่ถูก เมื่อปัญญาเจริญขึ้น สติและปัญญา (สติปัฏฐาน) ก็ย่อมเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เหมาะสมกับจริตของเราเองอยู่แล้วครับ
ตรงนี้สำคัญมาก เพราะสติและปัญญาจะทำหน้าที่เอง รู้ตรงในหมวดธรรมที่เหมาะสมกับจริตของตน แม้เราจะไม่รู้เลยว่าเราจริตอะไร แต่ปัญญาและสติที่เกิดขึ้นที่เป็นสติปัฏฐานก็เกิด ระลึกรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่มีในขณะนี้ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา อันเหมาะสมกับจริตครับ เพราะถ้าไม่เหมาะสมกับจริตจริงๆ แล้ว ปัญญาก็จะไม่เกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมครับ
สำคัญที่สุด คือ ไม่ลืมความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ว่า แล้วแต่สติและปัญญาจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมใด หากมีเรา มีตัวตน มีความต้องการที่จะรู้ จะเลือกให้เหมาะกับจริต ตามความคิดเราเอง ก็ไม่ใช่หนทางการเจริญสติปัฏฐาน เพราะไม่ใช่สติ แต่เป็นโลภะที่เลือกด้วยความเป็นเรา และลืมความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมครับ
ดังนั้น สบายๆ ด้วยความเข้าใจ คือ ฟังพระธรรมต่อไปในเรื่องสภาพธรรม ธรรมคือสติและปัญญา จะทำหน้าที่รู้ความจริงของสภาพธรรม ตามหมวดธรรมที่เหมาะกับจริตเอง
แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเราจริตอะไรก็ตาม ครับ ประโยชน์จริงๆ จึงไม่ใช่ไปรู้จริตตนเองแต่อบรมปัญญา เพื่อความเข้าใจถูกในหนทางดับกิเลส นี่คือประโยชน์จริงๆ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จริต ไม่พ้นไปจากเป็นความประพฤติเป็นไปของแต่ละบุคคล ตามการสะสม ไม่ว่าจะมีความประพฤติเป็นไปอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าในชีวิตประจำวันนั้น อกุศลเกิดขึ้นเป็นไปมากอยู่แล้ว แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่เมื่อเห็นประโยชน์ของพระธรรม เริ่มฟัง เริ่มศึกษา พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็ย่อมจะค่อยๆ เจริญขึ้นได้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียด ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แสดงถึงสิ่งที่มีจริงโดยตลอด และ เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่เริ่มฟัง ไม่เริ่มศึกษา แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจ ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
ควรเริ่มต้นอย่างไร
..อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...