ขณะหลับสนิท ไม่ฝัน มีกิเลสหรือไม่
ขณะเป็นภวังคจิต มีกิเลสเกิดหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอกุศลธรรม เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต พระอริยบุคคลเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับมรรค
ทุกขณะของชีวิต ก็คือ การเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ เป็นไปอย่างไม่ขาดสาย จิต เมื่อจำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ แล้ว มี ๒ ประเภท คือ จิตที่เป็นวิถีจิตกับจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต ซึ่งก็ต้องกล่าวถึงความหมายของจิต ๒ ประเภทนี้เป็นเบื้องต้นก่อนว่า วิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ในการรู้แจ้งอารมณ์
จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต คือ จิตที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์โดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวารเลย จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต มี ๓ ประเภท คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต จะเห็นได้ว่าปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว เป็นจิตขณะแรกในภพนี้ชาตินี้ จะไม่มีปฏิสนธิจิต ๒ หรือ ๓ ขณะในชาติเดียวกัน ส่วนจุติจิตยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จิตที่ไม่ใช่วิถีจิตในชีวิตประจำวันนี้ ก็คือ ภวังคจิต นั่นเอง
ในชีวิตประจำวัน วิบากจิต (จิตที่เป็นผลของกรรม) ที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น สำหรับผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่พิการตั้งแต่กำเนิด นอกจากจะมีวิบาก อันเป็นผลของกุศล ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ เช่น ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ที่ดีที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แล้ว ยังมีวิบากจิตอีกประเภทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเป็นไป ทำกิจหน้าที่ดำรงรักษาความเป็นบุคคลนี้ไว้จนกว่าจะจุติ นั่นก็คือภวังคจิต ขณะนี้ก็มีภวังคจิตเกิดขึ้นเป็นไป จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย
และที่ควรพิจารณาคือระดับของกิเลสนั้นมีหลายระดับ ทั้งกิเลสที่ไม่เกิดขึ้นแต่นอนเนื่องและกิเลสทีเ่กิดขึนแล้ว ดังนี้ครับ
ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต แต่ไม่ถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรม ระงับปริยุฏฐานกิเลสได้ชั่วคราว เป็นวิกขัมภณปหานด้วยฌานกุศลจิต
ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต มี นิวรณ์ เป็นต้น แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางกาย และวาจา เพียงแต่เกิดกิเลสขึ้นมาภายในจิตใจ เช่น เกิดความยินดีพอใจในสิ่งที่ได้เห็น เกิดความขุ่นเคืองใจ แต่ไม่ได้ล่วงแสดงออกมาทางกาย วาจา ซึ่งสามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวัน กับผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน โดยผู้นั้นเองที่จะเป็นผู้รู้ ด้วยปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ ครับ
วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบ ทำให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมทางกาย วาจาวิรัติ คือ ละเว้นวีติกกมกิเลสได้ด้วยศีล
วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบ สามารถปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เพราะมีการแสดงออกมา ทางกาย และ วาจา เช่น การพูดเท็จ การพูดคำหยาบ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น
อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสที่ละเอียดนอนเนื่องในสันดาน ไม่ปรากฎให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นการสั่งสมไว้ในจิต เปรียบเหมือนเชื้อโรคที่ฝังตัวอยู่ในร่างกายไม่สามารถรู้ได้ ต่อเมื่อเกิดอาการของโรคแล้ว (ปริยุฏฐานกิเลสและวีติกมกิเลส) ย่อมรู้ได้ว่ามีสาเหตุมาจากเชื้อโรค ซึ่งอนุสัยกิเลส เป็นพืชเชื้อให้มีการเกิดขึ้นของกิเลสอย่างกลาง เช่น ความโกรธในใจ ดังนั้นอนุสัยกิเลสจึงเป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด ที่ไม่ปรากฏให้รู้ได้ในชีวิตประจำวันครับ แต่ถึงแม้ไม่สามารถที่จะรู้อนุสัยกิเลสได้ แต่ก็สามารถอบรมปัญญาเพื่อละอนุสัยกิเลสได้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ก็จะถึงปัญญาระดับสูงที่เป็นมรรคจิต ที่สามารถละอนุสัยกิเลสได้จริงๆ ครับ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้และละอนุสัยกิเลสด้วยการอบรม ศึกษาพระธรรม ครับ
ดังนั้นขณะที่หลับสนิท ภวังคจิต ที่เป็นจิตของบุคคลที่ยังไม่ใช่พระอรัหนต์ ขณะนั้นกิเลสไม่เกิด แต่ มีอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องยังไม่ได้ดับ ครับ นี่คือความละเอียดของพระธรรม
กิเลสขั้นหยาบและกิเลสขั้นกลางจะเกิดได้ ก็เพราะเหตุว่ามีกิเลสขั้นละเอียด ซึ่งไม่มีใครรู้เลยนอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ว่า การที่จะดับกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นอย่างเด็ดขาด) ได้นั้น ต้องดับอนุสัยกิเลส ซึ่งเป็นพืชเชื้อ ที่เป็นเหตุให้กิเลสขั้นกลาง และกิเลสขั้นหยาบเกิดขึ้นได้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่จิตเป็นภวังค์ เป็นชาติวิบาก ซึ่งไม่มีสภาพธรรมฝ่ายที่เป็นอกุศล หรือ กุศลใดๆ เกิดขึ้นเป็นไปได้เลยในขณะที่เป็นชาติวิบาก ความเป็นจริงของสภาพธรรมเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น แต่ ถ้ายังไม่สามารถดับกิเลสอะไรๆ ได้ ก็ยังมีกิเลส สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะ แต่ละคนจึงมีอัธยาศัยที่แตกต่างกัน ตามการสะสม นั่นเอง
กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ
กิเลสมีมากมายหลายประการ เช่น โลภะ (สภาพธรรมที่ติดข้อง ยินดีพอใจ) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ) โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) มานะ (ความสำคัญตน) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่ออกุศลธรรม) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) เป็นต้น ทั้งหมดนั้น เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมฝ่ายดำ ให้ผลเป็นทุกข์ ทั้งนั้น ซึ่งจะถูกดับด้วยปัญญาขั้นโลกุตตระ
แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับพืชเชื้อของกิเลส อันเป็นกิเลสที่ละเอียด ที่จะต้องถูกดับด้วยอริยมรรค (โสดาปัตติมรรค ถึงอรหัตตมรรค) ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กิเลสขั้นที่กลุ้มรุมจิต เกิดขึ้น และถ้ามีกำลังกล้าก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มีการประทุษร้ายต่อผู้อื่น เป็นต้น และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคลสะสมอกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานจนนับไม่ได้ กิเลสเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะสะสมกิเลสมาอย่างเนิ่นนาน และเพราะยังละกิเลสไม่ได้ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ยังละกิเลสไม่ได้ กล่าวได้ว่า เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...