พระอุปัชฌาย์ต้องอาบัติปราชิกบวชให้กุลบุตรได้ไหม
ถ้ามีพระอุปัชฌาย์ที่ต้องอาบัติปราชิกจัดการบวชให้กุลบุตรผู้ต้องการเป็นพระภิกษุโดยที่กุลบุตรผู้นั้นไม่ทราบว่าพระอุปัชฌาย์ของตัวเองต้องอาบัติปราชิกขาดจากความเป็นพระ แบบนี้การบวชพระนั้นสำเร็จเป็นองค์พระไหม และกุลบุตรผู้บวชนั้นซึ่งไม่ทราบถ้าถือศีลครบ 227 ข้อปฏิบัติตามพระปาติโมกข์ทุกประการ ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิและปัญญานั้น จะถึงว่ากุลบุตรนั้นเป็นพระโดยสมบูรณ์ได้ไหม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอหรันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าขาดจากความเป็นพระภิกษุแล้ว ต้องสละเพศ ไม่ควรดำรงอยู่ในเพศของพระภิกษุ ไม่ควรทำกิจของความเป็นพระภิกษุอีกต่อไป เพราะขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว
การอุปสมบทกุลบุตรเพื่อให้เป็นพระภิกษุนั้น ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง คือ วัตถุ (เช่น มีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป ไม่เคยต้องอาบัติปาราชิกมาก่อน เป็นต้น) สีมา (ทำสังฆกรรมในเขตสีมาที่มีการกำหนดอย่างถูกต้อง) กรรม (มีการสวดตั้งญัตติและอนุสาวนา คือ สวดประกาศให้ทราบในสังฆกรรมนี้อย่างถูกต้อง) บริษัท (ภิกษุที่เข้าร่วมสังฆกรรม มีจำนวนเพียงพอ และเข้ามาอยู่ในหัตถบาส คือ ช่วงระยะประมาณแขนไปแตะตัวอีกรูปหนึ่งถึง) สำหรับในปัจจันตชนบทอย่างในประเทศไทย การบวช ต้องมีจำนวนสงฆ์ ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ซึ่งจะต้องไม่มีพระภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งในปัจจุบันก็เผื่อไว้ด้วยการนิมนต์มาเป็นจำนวนหลายๆ รูป เช่น ๑๐ รูป บ้าง เป็นต้น ดังนั้น แม้การบวช จะมีพระอุปัชฌาย์ หรือ แม้แต่พระคู่สวด ต้องอาบัติปาราชิก โดยที่ผู้อื่นไม่รู้ ก็ยังทำการบวชให้สำเร็จได้ กุลบุตรที่บวช ก็เป็นพระภิกษุได้ สามารถศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา รักษาสิกขาบท ประพฤติขัดเกลากิเลสในเพศของพระภิกษุได้ต่อไป หมายความว่า สงฆ์ที่ประชุมกันทำสังฆกรรม นั้น สำคัญว่าพระอุปัชฌาย์หรือพระคู่สวด ไม่ได้ต้องอาบัติปาราชิก คือ ยังสำคัญว่าเป็นพระภิกษุอยู่ แต่ในกรณีที่ สงฆ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่า พระอุปัชฌาย์หรือพระคู่สวด เป็นอาบัติปาราชิก อย่างนี้ไม่ควรอย่างแน่นอน การบวชเป็นพระภิกษุไม่สำเร็จ
ประเด็นที่สำคัญ คือ ผู้ที่จะบวช หรือ แม้กระทั่งผู้ที่จะทำการบวชให้ เข้าใจหรือยังว่า บวช คือ อะไร พระภิกษุ คือ ใคร และ ทำไมบวช
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
ภิกษุคือใคร
ชาวบ้านไม่รู้จักพระ พระก็ไม่รู้จักพระ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
ทำไมบวช
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...