พระอรหันต์ยังมีโลภโกรธหลงอยู่?

 
lokiya
วันที่  20 เม.ย. 2563
หมายเลข  31782
อ่าน  1,216

ข้อความต้นเรื่อง จากเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง

ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ใช่อรหันต์ แต่เป็นพระเอกลิเก พระอรหันต์ โกรธก็รู้ว่ากำลังโกรธ โลภก็รู้ว่ากำลังโลภ หลงก็รู้ว่ากำลังหลง นี่แหล่ะพระอรหันต์


คำถาม : เป็นความเห็นที่ถูกต้องหรือไม่ครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 เม.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เป็นผู้ทำลายข้าศึก คือกิเลสได้หมดสิ้น เป็นผู้ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป หลังจากที่ดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก จึงเป็นผู้ดับวัฏฏะได้อย่างเด็ดขาด การบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เริ่มตั้งแต่พระโสดาบันบุคคล ถึงความเป็นพระอรหันต์นั้น ต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรมเจริญปัญญา สะสมการสดับตรับฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานและต้องเป็นผู้ดำเนินตามทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ คือ การอบรมเจริญอริยมรรค ถ้าไม่มีปัญญาแล้วก็ไม่สามารถบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้เลย

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๙๙

บทว่า ขีณาสโว มีวินิจฉัยว่า อาสวะมี ๔ คือ กามาสวะ ภาวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาสวะทั้ง ๔ เหล่านี้ ของพระอรหันต์สิ้นแล้ว คือ ท่านละได้ ถอนขึ้นได้ สงบระงับ เป็นของไม่ควรเกิดขึ้นอีก อันท่านเผาแล้วด้วยไฟคือญาณ ด้วยเหตุนั้น พระอรหันต์ นั้น ท่านจึง เรียกว่า พระขีณาสพ


คำว่า ขีณาสพ มาจากภาษาบาลีว่า ขีณาสว แยกศัพท์เป็น ขีณ (สิ้นแล้ว) + อาสว (กิเลสที่หมักดอง ไหลไป ๔ คือ ความติดข้องยินดีพอใจในกาม ความติดข้องในภพ ความเห็นผิด และความไม่รู้) รวมกันเป็น ขีณาสว เขียนเป็นไทยได้ว่า ขีณาสพ แปลว่า ผู้สิ้นอาสวะ หรือ ผู้มีอาสวะสิ้นไปแล้ว จึงเป็นอีกชื่อหนึ่งของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้ปราศจากกิเลสทั้งปวง ปราศจากอาสวะทั้งปวง จริงอยู่ อาสวะ ๔ นั้น ดับเป็นขั้นๆ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป กล่าวคือ พระโสดาบันดับความเห็นผิดได้ พระอนาคามีดับความติดข้องยินดีพอใจในกาม ได้ พระอรหันต์ดับความติดข้องในภพ และ ความไม่รู้ ได้ ดังนั้น อาสวะ เป็นอันดับได้อย่างหมดสิ้น เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ เป็นผู้สิ้นอาสวะทั้งปวง แล้ว จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า พระขีณาสพ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 21 เม.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กิเลสทั้งหลาย เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น พระอริยบุคคล ทั้งหลาย ดับกิเลสตามลำดับขั้น กิเลสใดๆ ที่ดับได้แล้วจะไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ และ กิเลส จะถูกดับได้หมดสิ้น ไม่เหลือเลย เมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ จึงไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย เพราะกิเลสทั้งหลาย อยู่ในจิตของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์เท่านั้น ดังข้อความใน

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ หน้าที่ ๑๑๔๖ ดังนี้

โลภะ (ความติดข้อง) ๑ โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) ๑ โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) ๑ มานะ (ความสำคัญตน) ๑ ทิฏฐิ (มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด) ๑ วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) ๑ ถีนะ (ความท้อแท้ หดหู่) ๑ อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่านไม่สงบ) ๑ อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) ๑ อโนตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) ๑ เป็นที่อยู่ของสัตว์ผู้ไม่ใช่ขีณาสพ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ประสาน
วันที่ 22 เม.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ