รู้ธรรมะอย่างหนึ่ง ละธรรมะอย่างหนึ่ง แจ้งธรรมะอย่างหนึ่งคืออะไร ครับ
รู้ธรรมะอย่างหนึ่ง คือ กุศล ละธรรมะอย่างหนึ่งคือ อกุศล แบบนี้ไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรู้ธรรม คือ รู้ความจริงของธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง คือ รู้ว่าธรรมแต่ละอย่างไม่ใช่เราเป็นธรรม รู้ธรรมะ คือ กุศลว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม รู้อกุศลว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม ทั้งหมดเกิดขึ้นและดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา การรู้เช่นนี้เป็นปัญญา เมื่อรู้แล้ว ก็ละ ละอะไร ละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล ขณะนั้นละธรรม คือ อกุศล คือ ความไม่รู้ และความยึดถือว่าเป็นเรา แต่อกุศล กิเลสมีมากมายและหลายระดับ และละตามลำดับของกิเลส คือ เริ่มจากละความยึดถือว่าเป็นเราเป็นสัตว์บุคคลก่อน เพราะฉะนั้น การรู้ธรรม จึงไม่ใช่รู้เฉพาะกุศล เพราะ การยึดถือว่าเป็นเรา ไม่ใช่ยึดถือว่าเป็นเราที่มีกุศลเท่านั้น แต่ยึดถือว่าอกุศลเป็นเราด้วย เช่น ยึดถือว่าเราโกรธ เราไม่ดี เป็นต้น เพราะฉะนั้นการรู้ธรรมก็รู้ทั่วธรรมแต่ละอย่าง ทั้งกุศล อกุศล และ สภาพธรรมที่ปรากฎในชีวิตประจำวัน เห็น ได้ยิน เสียงเหล่านี้ รู้ทั่วว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม ปัญญาก็จะค่อยๆ ทำหน้าที่ละกิเลสไปตามลำดับต่อไปครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ ๓๔
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว จากพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ดังนี้”
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง และสิ่งที่มีจริง นั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไร ก็จริงอย่างนั้น เพราะสภาพของความเป็นจริง เป็นอย่างนั้น เช่น โกรธ เป็นโกรธ โลภะ ความติดข้อง ก็เป็นโลภะ ความดีประการต่างๆ ก็เป็นความดี ไม่ว่าจะในสมัยใดก็ตาม จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่น ก็ไม่ได้
เมื่อกล่าวถึงธรรม แล้ว เป็นธรรมสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ได้อยู่ในตำราเลย แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เปิดเผยให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา สิ่งที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน นั่นเอง
สำหรับสิ่งที่มีโทษ นำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนในภายหลัง คือ อกุศล เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นอกุศลและโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นได้ พร้อมทั้งทรงแสดงให้เห็นถึงคุณของปัญญาซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูกเห็นถูก ตามความเป็นจริง ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นโสภณธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่สำคัญอย่างยิ่งในพระธรรมวินัยนี้ เพราะเหตุว่า บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถดับหรือละซึ่งอกุศลทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่เกิดอีกเลย สามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะทำให้เห็นคุณของกุศล เห็นโทษของอกุศล ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก ทำให้เป็นผู้มีความอดทนมีความเพียรที่จะเจริญกุศลสะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาต่อไป เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง อกุศลเป็นที่พึ่งไม่ได้เลย มีแต่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยโดยส่วนเดียว ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...