จิตเดิมแท้ที่ผ่องใสบริสุทธิ์
ชีวิตมีกายกับจิต ถ้าพระอรหันต์ดับกิเลสที่อยู่ในจิตแล้ว เข้าถึงจิตเดิมแท้ที่ผ่องใสบริสุทธิ์ เวลาตาย กายดับแน่ แต่จิตที่สะอาดนี้ มีปัญหาจะถาม
1. ท่านจะหลับตาลง พร้อมกับทำใจนี้ยังไงครับ
2. จิตไม่ตายหรือจิตตายไปด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิพพานมี 2 อย่าง คือ สอุปาทิเสสนิพพาน และ อนุปาทาทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นการดับกิเลสหมดสิ้น แต่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ เช่น พระสารีบุตรดับกิเลสหมดสิ้นที่ถ้ำสูกรขาตา แต่ยังไม่ปรินิพพานเป็นนิพพานที่เป็นการดับกิเลสหมดสิ้น แต่ยังมีชีวิต มีขันธ์ห้า อนุปาทาทิเสสนิพพาน คือ การดับสภาพธรรมทั้งปวง ไม่เกิดขึ้นอีก ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ขันธ์ ห้า ไม่เกิดขึ้นอีกเลย เช่น ที่บ้านนาลันทา ท่านพระสารีบุตรดับขันธปรินิพพาน ไม่มีการเกิดขึ้นของ ขันธ์ ห้าและสภาพธรรมอะไรอีกเลย เรียกว่า อนุปาทาทิเสสนิพพาน
ดังนั้น พระพุทธเจ้า และพระสาวกผู้เป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว เมื่อถึงคราวที่จุติจิตเกิด คือ สิ้นชีวิต ก็จะไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรอีกเลย ทั้ง จิต เจตสิก และรูป เรียกว่า ปรินิพพาน อันหมายถึงการดับโดยรอบสิ้นเชิง ไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์ และสภาพธรรมอะไรเลย ดังนั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อจุติจิตเกิด ก็ไม่มี การไปอยู่ในสถานที่มี สวรรค์ หรือจักรวาลอื่นๆ อีกเลย เพราะไม่มีการเกิดขึ้นของ จิตเจตสิกและรูปแล้ว หากยังไปเกิดในสถานที่ใด มีสวรรค์ หรือ จักรวาล ก็แสดงว่า ยังมีการเกิดยังไม่พ้นจาการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ ครับเปรียบอุปมาเหมือน แสงเทียน เมื่อสิ้นเชื้อ คือ น้ำมัน (สิ้นกิเลส) แสงเปลวเทียนก็ดับไป เปลวเทียนที่ดับไป ก็ไม่สามารถบัญญัติได้ว่า ไปอยู่ที่ไหนอย่างไร หายไปเลย นั่นเอง ครับ จึงไม่มีการเกิดขึ้นของจิตต่างๆ ด้วยครับ
ข้อความจากพระไตรปิฎกแสดงถึงพระอรหันต์ไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์และจิตอีกเมื่อจุติจิต ปรินิพพานแล้วครับ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าที่ ๑๒๖๖
คำว่า แห่งบุคคลผู้พร้อมเพียงด้วยปัจฉิมจิต ได้แก่ ... พระขีณาสพผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่ไม่เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิอันเป็นจิตดวงสุดท้ายแห่งจิตทั้งปวง
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 132
แม้มารเมื่อไม่อาจเห็นที่ตั้งวิญญาณของพระโคธิกะนั้นได้ จึงแปลงเพศเป็นกุมารถือพิณมีสีเหลืองดุจผลมะตูม เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลถามว่า :- "ข้าพระองค์เที่ยวแสวงหาอยู่ ในทิศเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ทิศใหญ่ ทิศน้อย ก็มิได้ ประสบ พระโคธิกะนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน?" ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะมารนั้นว่า :- "ภิกษุชื่อโคธิกะ เป็นปราชญ์ สมบูรณ์ด้วย ปัญญาเครื่องทรงจำ มีณาน ยินดีแล้วในณาน ในกาลทุกเมื่อ ประกอบความเพียรทั้งกลางวัน กลางคืน ไม่ไยดีชีวิต ชนะเสนาแห่งมัจจุได้แล้ว ไม่มาสู่ภพอีก ถอนตัณหาพร้อมทั้งราก ปรินิพพาน แล้ว" เมื่อพระศาสดาตรัสอย่างนั้นแล้ว พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมารนั้น ผู้อันความโศกครอบงำ ลำดับนั้น ยักษ์นั้นเสียใจ ได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันต์ คือ ผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง เมื่อดับกิเลสหมดแล้ว ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน (ดับโดยรอบซึ่งขันธ์) เมื่อนั้นจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นอีกเลย ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...