แต่ถ้ายังไม่เป็นนิพพานจริง เป็นนิพพานชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถอนออกมาแล้วก็ยังเป็นปุถุชนธรรมดา
หลวงพ่อพุธตอบปัญหา [อารมณ์นิพพาน]
อันนี้เป็นคำถามเรื่องพระนิพพาน แต่ขอออกตัวว่า อาตมายังไม่ถึงนิพพาน แต่จะขอตอบไปด้วยความเข้าใจ นิพพานะ ตามภาษาศัพท์แปลว่า ดับ ในเมื่อใครบริกรรมภาวนาก็ดี หรือพิจารณาอะไรก็ดี ในเมื่อจิตสงบนิ่งลงเป็นอัปปนาสมาธิ จนกระทั่งตัวหายไปหมด ความรู้สึกว่ามีกาย ก็ไม่มี โดยที่สุดความรู้สึกว่า โลกคือแผ่นดินนี้ก็ไม่มี ยังเหลืออยู่ตั้งแต่สภาวะจิตรู้อันเดียวเท่านั้น อันนี้เป็นลักษณะแห่งความดับชั่วขณะหนึ่ง หรือเรียกว่าจิตสัมผัสถึงพระนิพพานชั่วขณะหนึ่ง
แต่ถ้าหากว่าสภาวะจิตของผู้นั้น มีความบริสุทธิ์สะอาดเหมือนๆ กับในขณะที่อยู่ในลักษณะนั้นตลอดไป ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า มีจิตบรรลุถึงนิพพาน แต่ถ้ายังไม่เป็นนิพพานจริง เป็นนิพพานชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถอนออกมาแล้วก็ยังเป็นปุถุชนธรรมดา เป็นอาการของจิตสัมผัสถึงนิพพานชั่วขณะหนึ่ง
อ้างอิง http://xn--m3ciu2am4ccl.blogspot.com/2017/04/blog-post.html
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ประจักษ์ด้วยปัญญาระดับสูงที่เป็นโลกุตตรมรรค เป็นต้น ซึ่ง การจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ต้องมีปัญญาในขณะนั้นด้วย ไม่ใช่ไม่รู้อะไร แค่จิตไปรู้สงบ แต่ปัญญาไม่รู้อะไร ไม่ใช่เลย ดังนั้นก็เป็นเรื่องที่ไกลและเกินจะกล่าวถึง หากมีปัญญาขั้นต้นที่จะเริ่มไปสู่การถึงนิพพานคือ หนทางการดับกิเลส พระพุทธเจ้าเมื่อมีบุคคลทูลถามถึงนิพพาน พระองค์ก็จะแสดงหนทางที่ถึงพระนิพพาน ให้เขาเข้าใจถูกว่า หนทางที่ถูกต้องคืออะไร เพราะแม้บอกว่านิพพานคือยังไง ผู้ที่ยังไม่ได้ประจักษ์ก็แค่เดาเอาตามความคิด เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุด คือ หนทางถึงนิพพานคือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ ขออนุโมทนา
สำคัญที่สุด คือ หนทางถึงนิพพานคือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็จะไม่มีทางเข้าใจความจริงอะไรได้เลย ก็เป็นแต่เพียงกล่าวตามๆ กันไป พูดคำที่ไม่รู้จักไม่ว่าจะเป็นคำใดก็ตาม
เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม, สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด รูปธรรม เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ แล้วดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ ได้แก่จิต และ เจตสิก [จิตและเจตสิก เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีขณะที่สั้นมาก เพียงแค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเท่านั้น เมื่อดับไปแล้วก็เป็นเหตุให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อ เป็นไปอย่างนี้ อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์] และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่ พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่า่งๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริง ๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้ เมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นปุถุชนได้เลย
สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูปเกิดขึ้นเป็นไป ท่านยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...